เปิดเส้นทาง‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ก่อนวางมือ‘เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์’

เปิดเส้นทาง‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ก่อนวางมือ‘เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์’

เป็นข่าวลือลั่น เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ประกาศวางมือกลางเวทีประชุมผู้ถือหุ้น หลังจากบริหารงานมานานหกทศวรรษ นี่คือประวัติของอภิมหาเศรษฐีโลกผู้ยิ่งใหญ่

บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 ส.ค.1930 ในเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 3 คน ของเลลาและโฮวาร์ด บัฟเฟตต์ ปู่ทำร้านขายของชำ พ่อเป็นนักลงทุนและคณะกรรมการโรงเรียนโอมาฮา ก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิสภาคองเกรสในปี 1942 สังกัดพรรครีพับลิกัน

เมื่ออายุได้ 11 ปี บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นครั้งแรกเป็นหุ้นบริษัทก๊าซธรรมชาติ Cities Service จำนวนสามหุ้นในราคา 38 ดอลลาร์ต่อหุ้น หลังจากหุ้นดิ่งลงแล้วพุ่งขึ้นเป็น 40 ดอลลาร์ เขารีบขายทันที แต่ราคายังขึ้นต่อเนื่อง เจ้าตัวได้บทเรียนครั้งใหญ่ว่า การพยายามคาดเดาว่าจะซื้อหรือขายหุ้นเมื่อใดไม่ใช่ความคิดที่ดี

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น บัฟเฟตต์ส่งหนังสือพิมพ์ในวอชิงตันมีรายได้มากพอเข้าไปลงทุนในฟาร์มแห่งหนึ่งของเนบราสกา

บัฟเฟตต์เข้าเรียนที่วิทยาลัยวอร์ตันมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียเมื่ออายุ 17 ปี แล้วโอนหน่วยกิตไปสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเนแบรสกา ลินคอล์น ในอีกสองปีต่อมา ได้รับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ

เขาเข้าเรียนต่อระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้เบนจามิน แกรห์ม ปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นมูลค่าเป็นที่ปรึกษาซึ่งนอกจากพ่อแม่แล้ว บัฟเฟตต์ยังถือว่าแกรห์มเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาอีกด้วย

บัฟเฟตต์รู้จักบริหารจัดการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย ยึดถือการลงทุนตามแนวทางปรมาจารย์แกรห์ม

เขาเข้าสู่โลกของบริษัทขนาดใหญ่ตอนที่บริษัทบัฟเฟตต์พาร์ทเนอร์ชิปซื้อหุ้นของเบิร์กเชียร์ ปี 1965 เขาควบคุมธุรกิจที่เหลือทั้งหมด

ปัจจุบันเบิร์กเชียร์เป็นเจ้าของหลายกิจการตั้งแต่รถไฟบรรทุกสินค้า BNSF ไปจนถึงบริษัทประกันภัยรถยนต์ Geico บริษัทพลังงานมากมาย แม้แต่บริษัทค้าปลีกอย่าง Dairy Queen และ See’s Candies ในปี 2024 บริษัทเหล่านี้มีกำไรจากการปฏิบัติการ 4.74 หมื่นล้านดอลลาร์

บัฟเฟตต์ยังเพิ่มพอร์ตหุ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลงทุนครั้งใหญ่ในบริษัทอย่างแอปเปิ้ลอิงค์และอเมริกันเอกซ์เพรส วิธีนี้ทำให้เบิร์กเชียร์มีส่วนร่วมกับกำไรของบริษัทใหญ่ได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของเต็มตัว

ตอนที่บัฟเฟตต์เห็นชอบซื้อ BNSF วงเงิน 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2009 เขาเรียกดีลนี้ว่า “การทุ่มหมดหน้าตักกับอนาคตเศรษฐกิจของสหรัฐ” อภิมหาเศรษฐีรายนี้มีความหวังกับเศรษฐกิจของประเทศเสมอ

ในจดหมายถึงนักลงทุนปี 2015 บัฟเฟตต์ระบุว่า สหรัฐยิ่งใหญ่ได้เพราะผลิตภาพที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดชีวิตของเขาผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐเพิ่มขึ้นหกเท่าต่อหัวประชากร

“ก้าวกระโดดเกินกว่าพ่อแม่หรือคนรุ่นเดียวกับท่านจะฝันได้” บัฟเฟตต์ระบุ