‘จีน’ หันโกยเงิน ‘สินค้าไม่เสียภาษี’ เหตุสงครามการค้าสหรัฐกดดัน

ข่าวใหญ่ในสัปดาห์ก่อน เมื่อได้มีการประกาศว่ากลุ่มศิลปินเคป็อป Epex จะจัดแสดงที่เมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มศิลปินไอดอลเกาหลี จะมาจัดคอนเสิร์ตในจีนแผ่นดินใหญ่ นับตั้งแต่ปี 2016

ทางสมาคมผู้ผลิตรายการบันเทิงแห่งเกาหลี เปิดเผยเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมาว่า งานดรีมคอนเสิร์ต ประจำปีสุดยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นงาน K-pop ที่จัดต่อเนื่องมายาวนานที่สุดของเกาหลีใต้ จะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้ ที่สนามกีฬาขนาดใหญ่ 40,000 ที่นั่งในมณฑลไหหลำ

ปรากฏการณ์นี้ แสดงให้เห็นถึงการผ่อนปรนมาตรการห้ามศิลปิน K-pop ของทางการจีนในจีนแผ่นดินใหญ่ หลังจากเกาหลีใต้ประกาศติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ Terminal High Altitude Air Defense ในปี 2016 โดยครั้งนี้จีนมองว่า ระบบขีปนาวุธดังกล่าว ได้มุ่งหมายเพื่อจำกัดแสงยานุภาพของจีนในภูมิภาค

การเปลี่ยนมุมมองใหม่ต่อ วงการ K-pop ถือเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่มีผลต่อดีมหาศาลต่อภาคธุรกิจบันเทิงในจีน" ตามที่โอห์ จีวู นักวิเคราะห์วิจัยจาก CGS สถาบันความมั่นคงนานาชาติของฮ่องกงกล่าว

โอห์กล่าวกับ CNBC ว่า "การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่เปิดกว้างมากขึ้นของจีน ในการฟื้นฟูอุปสงค์ภายในประเทศ ท่ามกลางภาวะการบริโภคปรับลดลง"

โดยโอห์สังเกตว่า การบริโภคมีส่วนสนับสนุนเกือบ 70% ต่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของจีนปี 2018 แต่สัดส่วนดังกล่าวลดลงเหลือต่ำกว่า 30% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบสนองสถานการณ์แท้จริง รัฐบาลจีนได้เริ่มส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรม รวมถึงคอนเสิร์ตเพลงป๊อปจากต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว การบริการ และการพาณิชย์ในท้องถิ่น” นักวิเคราะห์ CGS เสริม

เมื่อวันที่ 25 เมษายน กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนได้ออกประกาศเรียกร้องให้ส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรม รวมถึงคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรี 

โอห์ ชี้ให้เห็นว่า

"จีนเป็นตลาดส่งออกภาคธุรกิจเพลงที่ใหญ่เป็นอันดับสามของเกาหลีใต้ รองจากญี่ปุ่นและสหรัฐ ซึ่งยังเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชีย"

โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางนโยบายนานหลายปี" 

ภาคอุตฯ 'ไม่เสียภาษี'

นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมนี้ถูกมองว่า ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรยังช่วยสนับสนุนวงการ K-pop ในประเทศจีน

จี อิน-แฮ จากสถาบันความมั่นคง Shinhan  เคยกล่าวไว้เมื่อวันที่ 14 เมษายนว่า “แม้ตลาดจะผันผวนอย่างมากเนื่องจากภาษี แต่ว่าความบันเทิงและสื่อ ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีเลย ขณะที่ความเป็นไปได้ที่จีนจะเปิดประเทศนั้นยังคงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ”

โอห์ กล่าวว่าเสริมว่า แรงขับเคลื่อนรายได้หลัก ได้แก่ สตรีมมิ่ง เพลงออนไลน์ คอนเสิร์ต และการจับจ่ายของเหล่าแฟนๆ ถือเป็นสื่อดิจิทัลและวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ ทำให้ภาคธุรกิจนี้ ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีข้ามพรมแดน

แม้ว่าแฟนๆจะซื้ออัลบั้มและสินค้า มีความเสี่ยงจากภาษีก็ไม่สำคัญ เนื่องจากราคาสินค้าต่อความต้องการของแฟนๆที่จงรักภักดีกับศิลปิน

ผ่อนคลายมิติทางการทูต 

นักวิเคราะห์เผยว่า ท่าทีผ่อนปรนของจีนต่อวงการเคป๊อปนั้นมีมิติทางการทูตมากกว่า แค่ต้องการเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ

นักวิเคราะห์ของ Citi อย่างจอห์น วู และ อลิเซีย แยฟ  เคยบอกไว้เมื่อวันที่ 4 เมษายนว่า จีนอาจพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเกาหลีใต้ โดยคำนึงถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจของจีนเอง

พวกเขากล่าวว่า "การทูตทางวัฒนธรรม" อาจกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การผ่อนปรนการห้ามเนื้อหาในเกาหลีใต้อย่างไม่เป็นทางการ และการกลับมาของกระแสรายได้ที่ขับเคลื่อนโดยแฟนๆ ของ K-pop ในภูมิภาคนี้ พวกเขาอธิบายว่าภาคส่วนนี้ "เป็นผู้ได้รับประโยชน์ในระยะยาวจากระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไป" 

โอห์เสริมว่า ดูเหมือนจีน จะกระชับความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ ขณะที่ยังกำหนดข้อจำกัดชั่วคราวต่อเนื้อหาตะวันตกบางรายการ รวมถึงภาพยนตร์ฮอลลีวูด

"การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่คืนโอกาสให้แฟนๆ เข้าถึงข้อจำกัดเท่านั้น แต่ยังเพิ่มการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรมในเอเชีย ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจจีนในเอเชียระยะยาว" โอห์กล่าว

โอห์ กล่าวว่า เนื่องจากค่าย HYBE, JYP, SM และ YG เตรียมพร้อมสำหรับการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก ดังนั้นได้คาดว่าเอเจนซี่ในเกาหลีจะเริ่มธุรกิจนี้อย่างรวดเร็ว ในการหารายได้จากความต้องการ เมื่อข้อจำกัดต่างๆ ถูกยกเลิกอย่างสมบูรณ์ โดยนโยบายเหล่านี้ได้ช่วยสนับสนุนสถานการณ์การเปิดประเทศใหม่ในหลายขั้นตอน และเป็นตัวเร่งรายได้ที่แข็งแกร่งสำหรับ 4 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เป็นโอกาสที่กลุ่ม K-pop จะได้บอกกับจีนว่า เป็นช่วงเวลาที่รอคอยนานมาก ได้มาถึงแล้ว และตอนนี้โอกาสได้อยู่ในมือเราแล้ว

 

 

อ้างอิง CNBC