จีนเผย 'สหรัฐติดต่อมาแล้ว' ขอเจรจาเรื่องภาษี แต่จีนไม่รีบ

จีนเผย 'สหรัฐติดต่อมาแล้ว' ขอเจรจาเรื่องภาษี แต่จีนไม่รีบ

สื่อจีนเผย 'สหรัฐติดต่อมาแล้ว' ขอเจรจาเรื่องภาษี แต่จีนยังไม่จำเป็นต้องคุยจนกว่าจะเห็นมาตรการรูปธรรม ชี้อีกฝ่ายร้อนรนกว่าอย่างเห็นได้ชัด หลังแรงกดดันกำลังถาโถม

สำนักข่าว CCTV ของทางการจีนรายงานว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ พยายามติดต่อกับ "รัฐบาลปักกิ่ง" เพื่อเริ่มการเจรจาเกี่ยวกับภาษีศุลกากรจำนวนมหาศาลที่วอชิงตันกำหนดกับจีนแล้ว 

Yuyuantantian ซึ่งเป็นบัญชีแพลตฟอร์มเว่ยปั๋วของ CCTV และมักจะรายงานเกี่ยวกับมุมมองของปักกิ่งที่มีต่อประเด็นการค้า โพสต์โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลสหรัฐได้ติดต่อจีนผ่านช่องทางต่างๆ มาแล้ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

โพสต์ดังกล่าวทำให้เห็น "มุมมองที่แตกต่างกัน" เกี่ยวกับการดำเนินการเบื้องหลังระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกอย่างสหรัฐและจีน

ในฝ่ายของสหรัฐนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหลายต่อหลายครั้งว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จำเป็นต้องติดต่อมาหาเขาเพื่อเริ่มการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากร และเมื่อต้นสัปดาห์นี้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐยังกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับจีนแล้วว่าจะยอมดำเนินการก้าวแรกเพื่อลดระดับความขัดแย้งหรือไม่

และเมื่อวันพุธที่ผ่านมาระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี ทรัมป์ได้โต้แย้งว่าปริมาณการขนส่งสินค้าที่ลดลงเมื่อเร็วๆ นี้บ่งชี้ว่า ในไม่ช้า ปักกิ่งจะต้องติดต่อมาหาเขา โดยทรัมป์กล่าวว่าเขารู้สึก "ไม่แฮปปี้" กับการค้าระหว่างสองประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเขาต้องการให้จีนทำให้ดี(กว่านี้) ในขณะที่ปฏิบัติต่อสหรัฐอย่างยุติธรรม

ต่อมาภายในวันเดียวกัน ทรัมป์กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่าในที่สุดเขาจะได้พูดคุยกับสี จิ้นผิง แม้ว่าผู้นำจีนจะลังเลที่จะพูดคุยโดยตรงกับเขาก็ตาม โดยทรัมป์ย้ำว่า "มันจะเกิดขึ้น"

“จีนไม่จำเป็นต้องเจรจากับสหรัฐ จนกว่าสหรัฐจะดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรม” บัญชี Yuyuantantian ระบุในโพสต์และเสริมว่า จากมุมมองของการเจรจา สหรัฐเป็น “ฝ่ายที่ร้อนรนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดในขณะนี้” โดยอ้างถึงแรงกดดันที่รัฐบาลทรัมป์กำลังเผชิญอยู่ในหลายประเด็น

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 30 เม.ย. มีการเปิดเผยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐในไตรมาส 1 ปีนี้ "หดตัวลง" 0.3% ซึ่งเป็นการหดตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2565 หลังจากปริมาณการนำเข้าก่อนการขึ้นภาษีศุลกากรพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลและการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ข้อมูลดังกล่าวยังเป็นการสะท้อนภาพรวมทางเศรษฐกิจสหรัฐครั้งแรก จากผลกระทบของคลื่นการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของทรัมป์ 

ในเวลาเดียวกัน ผลกระทบยังสะท้อนผ่านราคาสินค้าเมดอินไชน่าที่วางขายในสหรัฐตามร้านค้ายอดนิยมหลายแห่ง ซึ่งปรับตัวแพงขึ้น และบ่งชี้ว่าผู้ซื้อในสหรัฐคือคนที่ต้องแบกรับผลกระทบเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าทรัมป์จะอ้างว่าปักกิ่งจะเป็นผู้แบกรับภาระภาษีศุลกากร 145% ก็ตาม