‘มาเลเซีย-สิงคโปร์’ เร่งมือเขตเศรษฐกิจพิเศษท่ามกลางภาษีทรัมป์

มาเลเซีย-สิงคโปร์เร่งเปิดตัวเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมแห่งใหม่ หวังใช้ป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการค้าโลกที่เพิ่มสูงทุกขณะภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เว็บไซต์นิกเคอิเอเชียรายงาน ซาฟุรล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียกล่าวในงานเสวนาธุรกิจและการลงทุนในเมืองยะโฮร์บารู เมืองเอกของรัฐยะโฮร์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมยะโฮร์-สิงคโปร์ และการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านขณะนี้สำคัญมากกว่าที่เคยมี
“วันปลดแอก (ของทรัมป์) เป็นเครื่องเตือนใจว่า เมื่อเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ เราต้องเร่งปฏิรูป ปัจจุบันความจำเป็นของเขตเศรษฐกิจพิเศษและการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของประเทศมีความสำคัญมากกว่าที่เคย และมากกว่าครั้งใดๆ”
เมื่อเดือน ม.ค. มาเลเซียและสิงคโปร์เห็นชอบกันอย่างเป็นทางการในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมมูลค่าสูง อาทิ เฮลธ์แคร์และเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ การลงทุนใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษพื้นที่ 3,571 ตารางกิโลเมตร จะได้รับผลประโยชน์จูงใจมากมายจากรัฐบาลมาเลเซีย เช่น ยกเว้นภาษีตามเงื่อนไข
เขตเศรษฐกิจพิเศษตั้งเป้าห้าปีแรกได้โครงการใหญ่ 50 โครงการ และ 100 โครงการภายในปี 2035 ภายใต้รูปแบบ “คู่แฝด” ที่สองประเทศทำมาแต่ไหนแต่ไร นั่นคือบริษัทตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในสิงคโปร์ ขณะที่โรงงานผลิตและโลจิสติกส์อยู่ในยะโฮร์
ฮาฟิซ กาซี มุขมนตรีรัฐยะโฮร์เผยว่า ไตรมาสแรกของปีนี้เขตเศรษฐกิจพิเศษอนุมัติการลงทุนไปแล้ว 2.74 หมื่นล้านริงกิต และกำลังจะอนุมัติอีก 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.
“เราได้ปรับกระบวนการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการจัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกการลงทุนมาเลเซีย ยะโฮร์ (IMFC-J) นำกลไกแบบเร่งด่วนมาใช้ซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าของระบบราชการสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ได้มาก” มุขมนตรีกล่าวและว่า ปัจจุบันศูนย์อำนวยความสะดวกดูแล 42 โครงการภายใต้กลไกฟาสต์แทร็ก ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายใน 13-14 เดือน เทียบกับเมื่อก่อนต้องใช้เวลาถึงสองปี
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องประสิทธิภาพ แต่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนไปถึงนักลงทุนว่า ยะโฮร์เอาจริง ทำจริง และพร้อมแล้ว” มุขมนตรีย้ำ
เมื่อภาษีสหรัฐใกล้เข้ามา เขาได้เสนอสองโครงการริเริ่มในเวทีเสวนาเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจพิเศษ โครงการแรกคือก่อตั้งยะโฮร์แซนด์บ็อกซ์ เป็นพื้นที่ยืดหยุ่นภายใต้การกำกับดูแลเพื่อทดสอบเทคโนโลยีนวัตกรรม นโยบาย และตัวแบบธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ
แซนด์บ็อกซ์จะยกเว้นกฎระเบียบอย่างมีระยะเวลาให้กับการพัฒนาแบบฟาสต์แทร็ก โดยมีหน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐบาลของรัฐกำกับดูแลภายใต้ IMFC-J
อีกหนึ่งข้อเสนอจากกาซีคือสร้างนิคมอุตสาหกรรมอาเซียนออกแบบมาเพื่อดึงดูดการลงทุนมูลค่าสูงจากประเทศสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ประกอบด้วยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
นิคมแห่งนี้เน้นที่การผลิตทันสมัย เทคโนโลยีสีเขียว และภาคส่วนดิจิทัล โดยให้แรงจูงใจด้านภาษี เช่น ยกเว้นภาษี ช่วยให้คนเก่งย้ายเข้ามาทำงานได้ง่ายขึ้น ผ่อนปรนกฎเกณฑ์ส่งรายได้กลับประเทศ
ด้านกัน คิมยง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ เตือนบนเวทีว่า ภาษีระหว่างสหรัฐกับจีนเสี่ยงบั่นทอนระเบียบการค้าพหุภาคีที่ตั้งอยู่บนกฎระเบียบ เขตเศรษฐกิจขนาดเล็กตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด “แล้วแต่มหาอำนาจจะกรุณา”
“แต่ในทุกๆ วิกฤติย่อมมีโอกาสเมื่อธุรกิจเริ่มปรับโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานใหม่ โอกาสใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่ไหวตัวทันและปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว” รองนายกฯ สิงคโปร์กล่าวโดยยกตัวอย่างหลายบริษัทที่ใช้ประโยชน์จากตัวแบบคู่แฝดของเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว เช่น Archisen บริษัทเทคโนโลยีการเกษตรในสิงคโปร์ที่จับมือกับ FarmByte ของยะโฮร์ สร้างสวนผักอัจฉริยะแนวตั้งในอาคาร ณ นูซาจายาเทคพาร์ก คาดว่าจะได้ผลผลิต 300 ตันต่อปี
อะโกรคอร์ปจับมือเป็นหุ้นส่วนกับเมกมิลค์สโนว์แบรนด์ของญี่ปุ่น เตรียมตั้งโรงงานในยะโฮร์ ผลิตโปรตีนแพลนท์เบส 6,000 ตันจากพืชที่ทนทานกับสภาพอากาศ เอสพีซีกรุ๊ปของเกาหลีใต้ ผู้ดูแลเชนเบเกอรี Paris Baguette ตั้งโรงงานฮาลาลในยะโฮร์ ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคและศูนย์นวัตกรรมในสิงคโปร์ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
เจอร์เมน ลอย กรรมการผู้จัดการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจสิงคโปร์ เรียกร้องให้บูรณาการทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก สิ่งสำคัญคือมาเลเซียและสิงคโปร์ต้องเปิดกว้างต่อการค้าและการลงทุน การบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคมีความสำคัญมากกว่าที่เคย และนั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราสามารถประสบความสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่สำเร็จคนเดียว พื้นฐานมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการทำให้เห็นผล”