เป็นไวรัล ‘สหรัฐ’ ช้อปแข่งซื้อสินค้า เลี่ยงภาษีสูง ผ่านแอป ‘จีน’

ใกล้ถึงวันขีดเส้นตายวันยกเว้นภาษีสินค้าขั้นต่ำ ยิ่งเป็นแรงหนุนให้คนในสหรัฐ โหลดใช้แอป DHgate ของจีน แข่งเวลา สั่งซื้อสินค้ายกเว้นภาษีในนาทีสุดท้าย
KEY
POINTS
Key Pionts
- ประธานาธิบดีทรัมป์ ประเมินผู้บริโภคชาวอเมริกัน เพื่อหลีกเลี่ยงนโยบายภาษีเหล่านี้ต่ำเกินไป ใกล้ถึงวันขีดเส้นตายวันยกเว้นภาษีสินค้าขั้นต่ำ ยิ่งเป็นแรงหนุนให้คนในสหรัฐ โหลดแอปของจีน แข่งเวลา สั่งซื้อสินค้ายกเว้นภาษีในนาทีสุดท้าย
- การสั่งซื้อสินค้ามีขึ้นก่อนวันที่ 2 พ.ค. เพราะเมื่อการยกเว้นขั้นต่ำสิ้นสุดลง อาจทำให้สินค้านำเข้าจากจีน ที่มีมูลค่า 800 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่านั้น ต้องเสียภาษี
- ความเร็วและประสบการณ์ในการบริการของแอปจีน ไม่ได้รับประกันคุณภาพสินค้า และการให้บริการแก่ผู้ซื้อสินค้า รวมถึงการมาตรการตรวจสอบสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
- ในการค้าอีคอมเมิร์ซระดับโลก แพลตฟอร์มต่างๆ ควรจะเริ่มต้น หรือสั่งห้าม ผู้ขายละเมิดกฎทรัพย์สินทางปัญญา” เพราะในไม่ช้านี้ อาจเผชิญกับการตรวจสอบทางกฎหมายและกฎระเบียบจากทั้งรัฐบาลและแบรนด์ต่างๆ
"ภาษีใหม่" กำลังเริ่มขึ้น นักช้อปชาวอเมริกันกำลังแห่กันไปที่แอพลิเคชั่น อีคอมเมิร์ซจีน เพื่อค้นหาสินค้าราคาถูกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ เสื้อผ้า และกระเป๋าหรูหรา หวังช้อปชิงแชมป์ ก่อนจะมีการขึ้นราคา เป็นผลตามมาจากสงครามภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ซึ่งยังคงดำเนินอยู่
แค่เฉพาะยอดดาวน์โหลดแอปจีนใน App Store มียอดดาวน์โหลดที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ชาวสหรัฐ ต่างเร่งรีบสั่งซื้อสินค้าก่อนวันที่ 2 พ.ค. เพราะเมื่อการยกเว้นขั้นต่ำสิ้นสุดลง อาจจะทำให้สินค้านำเข้าจากจีน ที่มีมูลค่า 800 ดอลลาร์หรือต่ำกว่านั้น ต้องเสียภาษีปกติ
ขณะที่บริษัทอีคอมเมิร์ซจีนได้เตือนผู้ซื้อในสหรัฐ ให้เตรียมรับราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ผู้ซื้อต่างรู้สึกกังวลกับการซื้อสินค้าผ่านแอปช้อปปิ้งหลังจากนี้ อาจเจอโดนเก็บภาษีแพงกว่า
ผู้ใช้ TikTok หลายคนก็รู้สึกสงสัยว่า “ถ้าเราสั่งซื้อตอนนี้แล้วสินค้าถึงสหรัฐหลังจากวันที่ 1 พ.ค. สินค้าจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่หรือไม่” เช่นเดียวกับนักช้อปออนไลน์คนหนึ่ง กดสินค้าใส่ลดรถเข็นแล้ว แต่ยังไม่กล้าสั่งซื้อ เพราะกังวลการเสียภาษี เนื่องจากเขารู้เต็มอกว่าสินค้าจะมาถึงหลังมาตรการภาษีใหม่เริ่มต้นขึ้น
“เหตุการณ์นี้ เกิดจากสงครามภาษีจีนกับสหรัฐ ทำให้ผู้บริโภคกังวลต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาในอนาคต” เจสัน หยู กรรมการผู้จัดการของ CTR Market Research ในปักกิ่งกล่าวกับชาแนลนิวส์ เอเชีย (CNA)
นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาเกิดความกังวล จึงมองหาแหล่งซื้อสินค้าที่แตกต่างไป และพวกเขาก็มุ่งตรงไปแหล่งซื้อสินค้าโดยตรงจากแอปจีน
CNA ได้ตรวจสอบข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) พบว่า แอปของจีนครองส่วนแบ่ง App Store ของ Apple ในสหรัฐ โดย 6 ใน 11 ของแอปช้อปปิ้งที่ผู้ใช้ในสหรัฐ ดาวน์โหลดสูงสุดนั้นเป็นแอปจีน
นอกเหนือจากแอปยอดนิยมอย่าง ทีมู, เถาเป่า และ Shein แล้ว แอปของจีนอย่าง DHgate ซึ่งเรียกอีกชื่อว่า "Little Yellow App" ก็ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน โดยก้าวกระโดดขึ้นมาอยู่อันดับ 2 รองจาก ChatGPT ในรายชื่อแอป iPhone ฟรีของ Apple ไปอย่างหวุดหวิดเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ตาม
หยู กล่าวว่า หากพูดตรงไปตรงมากขึ้น “ประธานาธิบดีทรัมป์ ประเมินผู้บริโภคชาวอเมริกัน เพื่อหลีกเลี่ยงนโยบายภาษีเหล่านี้ต่ำเกินไป”
อเมริกัน คลั่งช้อปแอปจีน
DHgate เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในปักกิ่ง ก่อตั้งเมื่อปี 2547 ดำเนินการจัดส่งสินค้าที่ผลิตจากโรงงานจีนโดยตรงภายใต้กฎเกณฑ์ De Minimis Exemption ซึ่งเป็นมาตรการศุลกากรของสหรัฐ ที่อนุญาตให้สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ หรือประมาณ 26,600 บาท สามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า และแทบไม่ต้องผ่านการตรวจสอบทางศุลกากร เดิมกฎระเบียบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดภาระงานของหน่วยงานรัฐ และส่งเสริมการค้าขนาดเล็กในยุคที่การค้าอีคอมเมิร์ซกำลังเริ่มต้น
บริษัท Appfigures ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลแอปได้อ้างอิงบริษัทสื่อ Cailianshe ระบุว่า ยอดดาวน์โหลดแอปช้อปปิ้งในสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกตะลึงถึง 940 เปอร์เซ็นต์จากค่าเฉลี่ย 30 วัน
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เตือนว่า การเติบโตนี้อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ อาจต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและคุณภาพสินค้า
สงครามแบรนด์แนม กับผู้ผลิต บนโลกโซเชียล
ขณะเดียวกัน สงครามข้อมูลดิจิทัลระดับโลก กำลังเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โดยผู้สร้างคอนเทนต์ชาวจีนใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok เพื่อความเป็นเบื้องหลังการผลิตสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งไม่เคยมีใครออกมาพูดถึงจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก
โดยพวกเขาตั้งคำถามว่า ผู้ซื้อชาวอเมริกันว่า ทำไมถึงจ่ายเงินเพิ่มอีกหลายร้อยดอลลาร์ เพื่อซื้อโลโก้แบรนด์เนม แต่สินค้าที่ได้ก็มาจากแหล่งผลิตคุณภาพในจีน เพียงแต่เมื่อจีนผลิตเสร็จแล้ว ก็ถูกส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อตกแต่งเพิ่มอีกเล็กน้อย และติดโลโก้แบรนด์เนมนั้นๆ
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ท่ามกลางภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนที่กลับมาปะทุ ทำให้เนื้อหาลักษณะนี้ กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง แล้วได้ผลลัพธ์ต่างจากก่อนหน้านี้ เพราะผู้ซื้อกลุ่มใหม่ที่ใส่ใจเรื่องราคา คุณภาพ และเน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ต่างก็ให้ความสนใจในประเด็นนี้มาก
เปิดรับผู้สมัครใจ ร่วมคลับ “MADE IN CHINA”
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่สินค้าผลิตจากจีน ถูกมองว่ามีราคาถูก ผลิตเป็นจำนวนมาก และมีคุณภาพต่ำกว่า
เศรษฐกิจโลกได้ประโยชน์อย่างมากจากต้นทุนแรงงานถูกและการผลิตจำนวนมากของจีน ซึ่งผลิตได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ของเล่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ เครื่องครัว และเครื่องประดับ
มีผู้ค้าปลีกแฟชั่นจำนวนไม่น้อยส่งการผลิตไปยังประเทศจีน” ติ๊กต็อกเกอร์กล่าว และเสริมว่าแม้ว่ากระบวนการบางส่วนอาจทำในสถานที่อื่นๆด้วยเช่นกัน อย่างใน ยุโรป แต่การผลิตพื้นฐานจำนวนมากก็ยังคงผลิตในประเทศจีน
“สำหรับสินค้ากระแสหลักในสหรัฐมาจากทั่วโลก ส่วนใหญ่มีต้นทุนการผลิตมีราคาเพียงเศษเสี้ยวของราคาที่ผู้ซื้อในสหรัฐต้องจ่าย และส่วนใหญ่สินค้าที่ผลิตขึ้นจากเมืองและมณฑลต่างๆ ของจีน เช่น กวางตุ้งหรือฝูเจี้ยน” ติ๊กต็อกเกอร์กล่าว
"แต่ถึงอย่างไร แนวโน้มดังกล่าวไม่ได้เน้นย้ำถึงความแตกต่างของราคาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเผยให้เห็นว่าผู้คนมีความรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับการค้าและห่วงโซ่อุปทานระดับโลก" นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีชาวจีน หม่า ลุย ซึ่งเป็นพิธีกรรายการพอดแคสต์ Tech Buzz China กล่าว
หม่ามองการสร้างแบรนด์ การตลาด และมูลค่าเชิงสัญลักษณ์ (ทางอารมณ์) ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งมีบทบาทสำคัญกว่า นั่นแหละเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องทำการตลาด เพราะคนที่มีกำลังซื้อสูงให้ความสำคัญกับ “แบรนด์ให้คุณค่าทางจิตใจผู้ซื้อ มากกว่าตัวสินค้าเท่านั้น” หม่ากล่าว
แอปจีน ต้องปฏิวัติ หากต้องการเป็นผู้นำอีคอมเมิร์ซโลก
ความเร็วและประสบการณ์ในการบริการ ไม่ได้รับประกันคุณภาพสินค้า และการให้บริการลูกค้า
“เว้นแต่ว่า แพลตฟอร์มต้องให้ความสำคัญกับความต้องการใหม่นี้จริงๆ พวกเขาจะต้องลงทุนทรัพยากรในการบริการลูกค้า” หม่ากล่าว พร้อมเสริมว่าการคืนสินค้า การเปลี่ยนสินค้า และการดูแลหลังการขาย ก็ไม่เป็นเรื่องแน่นอนยิ่งขึ้นไปอีก
ความคิดเห็นล่าสุดเกี่ยวกับวิดีโอ TikTok ที่เป็นไวรัลอยู่ตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้บางกลุ่มต่อต้าน DHgate โดยชี้ผลิตภัณฑ์ของ DHgate มักมีคุณภาพไม่ดี บ้างก็ปะปนด้วย "สินค้าเลียนแบบ" ไม่เหมือนกับสินค้าจริง แม้ว่าในตอนแรกอาจดูคล้ายกันก็ตาม โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสินค้าลอกเลียนแบบ และการติดแบรนด์ก็ไม่ถูกต้อง
ในไม่ช้านี้ แพลตฟอร์มเหล่านี้ อาจเผชิญกับการตรวจสอบทางกฎหมายและกฎระเบียบจากทั้งรัฐบาลและแบรนด์ต่างๆ
“ในการค้าอีคอมเมิร์ซระดับโลก แพลตฟอร์มต่างๆ ควรจะเริ่มต้น หรืออย่างน้อยก็สั่งห้าม ผู้ขายละเมิดกฎทรัพย์สินทางปัญญา” หม่ากล่าว สิ่งนี้เป็นพันธกิจที่แพลตฟอร์มกับผู้ค้าสินค้าต้องมีร่วมกัน เพื่อแสดงความซื่อสัตย์กับผู้บริโภค ซึ่งไม่แน่ใจว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้พร้อมที่จะรับมือกับการค้าดังกล่าวหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหลังภาษีศุลกากรใหม่จะเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยหม่ามองว่า ในท้ายที่สุด ซัพพลายเออร์จีนจะต้องดำเนินการในทิศทางที่ควรจะเป็น และจะทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด แม้ว่าจะหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจและเพิ่มการดูแลลูกค้า เพราะสุดท้ายพวกเขาก็ต้องทำเช่นนั้น พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น”