ทักษิณเผยพร้อม 'รีเซตนโยบาย - คุมเข้มสวมสิทธิ' หวังซื้อใจสหรัฐ

'ทักษิณ' ย้ำในเวทีหอการค้าอเมริกัน ไทยพร้อม 'รีเซต' นโยบายนำเข้า - ลงทุนที่ดึงดูดทุนจีนมาตลอดหลายปี มองภาษี 36% เป็นการดึงสติให้รัฐบาลเอาจริงแก้ปัญหาการ 'สวมสิทธิ'
อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กล่าวในงานสัมมนาของหอการค้าอเมริกันในไทย (AMCHAM) เมื่อวันที่ 24 เม.ย.68 ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้อง "รื้อ" กฎระเบียบการนำเข้า และนโยบายส่งเสริมการลงทุน ที่เป็นหัวใจสำคัญต่อการผลักดัน "กระแสทุนจีน" ให้หลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทยตลอดช่วงไม่กี่ที่ผ่านมา เนื่องจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของไทยที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกเป็นหลัก
ทักษิณ กล่าวว่า ประเทศไทยควรพิจารณาภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บกับไทยในอัตราสูงถึง 36% ว่าเป็น "การเตือนสติที่ดี" ให้รัฐบาลซึ่งนำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของตนเอง หันมาดำเนินการปราบปรามผู้ผลิตต่างชาติที่หลีกเลี่ยงกฎการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local content) โดยยกตัวอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ว่าดึงดูดการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์จากค่ายรถอีวีจีนจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการใช้มาตรการจูงใจของรัฐบาล
“เรามีการขาดดุลกับจีนจำนวนมาก และเรามีการเกินดุลปานกลางกับสหรัฐ บางทีอาจมีบางอย่างผิดปกติที่นี่” ทักษิณ กล่าว “ดังนั้น เราจึงจะเปลี่ยนนโยบายของเราเพราะภาษีศุลกากร(สหรัฐ)”
ความเห็นของอดีตนายกฯ มีขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยกำลังเตรียมพร้อมเจรจาการค้ากับสหรัฐเพื่อขอลดภาษีตอบโต้การค้า ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญอัตราภาษีสูงที่สุด 36% โดยประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐมากที่สุด และมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐมากถึงราว 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
มุมมองของทักษิณยังถือเป็นการส่งสัญญาณถึง "การเปลี่ยนแปลงจุดยืนที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทย" ซึ่งตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับประโยชน์อย่างมากจากการลงทุนของ "จีน" อันเป็นผลจากเทรนด์การย้ายห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ระหว่างปี 2565 - 2567 บริษัทจีนจำนวนมากซึ่งรวมถึงบริษัทในเครือ "ไบต์แดนซ์" (ByteDance) ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ถือเป็นแหล่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าบริษัทจีนคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว หรือมากกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับบริษัทอเมริกันซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในไทยประมาณ 8%
สงครามการค้ายังแสดงให้เห็นถึงภาวะ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" ที่ประเทศต่างๆ รวมถึงไทย กำลังเผชิญอยู่แม้ว่าจะพยายามวางตัวเป็นกลางก็ตาม
โดยในขณะที่รัฐบาลวอชิงตันกำลังกดดันให้หลายประเทศ "จำกัดการค้ากับปักกิ่งและลดอำนาจการผลิตของจีนลง" เพื่อแลกกับการให้สหรัฐผ่อนปรนอัตราภาษีให้ แต่ฝั่งรัฐบาลจีนเองก็ได้ออกโรงเตือนประเทศต่างๆ ไม่ให้บรรลุข้อตกลงใดๆ กับสหรัฐที่จะกระทบต่อผลประโยชน์ของจีน ไม่เช่นนั้นจีนจะดำเนินมาตรการตอบโต้กลับเช่นกัน
อดีตนายกฯ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยยินดีที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีนำเข้าเพื่อช่วยเอื้อประโยชน์ต่อสินค้าสหรัฐ โดยจะหันมามุ่งการทำข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีมากขึ้นแทนที่กรอบพหุภาคีขององค์การการค้าโลก (WTO) โดยยกตัวอย่างสินค้า เช่น "ข้าวโพด" และ "ก๊าซธรรมชาติเหลว" (LNG) เป็นสินค้าสหรัฐที่ไทยมีแผนจะนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้นเพื่อช่วยลดช่องว่างทางการค้า
ทั้งนี้ในสายตาของหลายฝ่าย ทักษิณซึ่งปัจจุบันไม่ได้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการใดๆ ในรัฐบาลแพทองธารที่เป็นบุตรสาว ถือเป็นกำลังสำคัญในการกำหนด และดำเนินนโยบายของรัฐบาล
ส่วนความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทยนั้น เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศได้เลื่อนการเจรจาออกไปจากกำหนดการเดิมในสัปดาห์นี้ โดยน.ส.แพทองธาร กล่าวว่า "รัฐบาลวอชิงตันต้องการให้รัฐบาลไทยทบทวนในบางประเด็นก่อน" ตนจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ "ปราบปรามการใช้ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าโดยมิชอบ" ของบริษัทต่างชาติที่พยายามหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐ
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของไทยยังได้กล่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า ประเทศไทยจะพิจารณาข้อกังวลของสหรัฐเกี่ยวกับเรื่อง "การบิดเบือนค่าเงิน" ด้วย
ทั้งนี้ ท่าทีของไทยที่รอดูทิศทางลมก่อน หรือ Wait and see ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐนั้น "ทำให้เกิดคำถามขึ้นเกี่ยวกับกลยุทธ์ของรัฐบาลไทย" ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึง "อินโดนีเซีย" และ "เวียดนาม" ต่างก็มีความคืบหน้าในการเจรจากับสหรัฐแล้ว
ทักษิณกล่าวด้วยว่า "การเจรจากับสหรัฐเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก" แต่เขาก็ย้ำความเชื่อมั่นกับกลุ่มนักธุรกิจอเมริกันว่า ประเทศไทยเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะเจรจากับวอชิงตันแล้ว
"การเจรจาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนแค่ถามว่า 'กี่เปอร์เซ็นต์ดี'" ทักษิณกล่าว "แต่รัฐบาลก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะไปคุยได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์