เก็บตกจากปาก‘อันวาร์’ จุดยืนอาเซียนต่อภาษีทรัมป์ l World Pulse

การเยือนเมืองไทยของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย เมื่อสัปดาห์ก่อนถือว่าสำคัญไม่น้อย แม้เจ้าตัวกลับไปแล้วยังมีประเด็นเก็บตกให้ชวนพูดถึง
ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น อันวาร์มากรุงเทพฯ รอบนี้ได้พบกับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นได้พบกับอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานอาเซียน (อันวาร์), พลเอกอาวุโสมิน อ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา และได้วีดิโอคอลคุยกับมานวิน ข่ายตาน (Mahn Win Khaing Than) นายกรัฐมนตรีรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (เอ็นยูจี) หรือรัฐบาลเงาของเมียนมา
การแถลงข่าวก่อนเดินทางกลับมาเลเซียในวันที่ 18 เม.ย. อันวาร์จึงเน้นย้ำในเรื่องเมียนมาเป็นสำคัญ สารหลักของประธานอาเซียนคือการหยุดยิงเพื่อเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงทั่วประเทศเมียนมาอย่างไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง และมองว่า ก่อนที่มิน อ่องหล่ายเดินทางมากรุงเทพฯ ได้อภัยโทษนักโทษการเมืองกว่า 4,000 คนถือเป็นสัญญาณดีจากผู้นำเมียนมาในการมีปฏิสัมพันธ์กับอาเซียน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเรื่องเมียนมาแล้วเรื่องภาษีทรัมป์ก็เป็นเรื่องที่ผู้นำมาเลเซียกับผู้นำไทยได้หารือกัน น่าสังเกตว่าก่อนอันวาร์มากรุงเทพฯ ในวันที่ 17 เม.ย. ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงอยู่ระหว่างการเดินสายเยือนสามประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา นั่นหมายความว่าอันวาร์ได้พบกับสีก่อนมา พูดง่ายๆ คือวันที่ 17 เม.ย. สี จิ้นผิงเสร็จสิ้นภารกิจเดินทางออกจากมาเลเซียมุ่งหน้ากัมพูชา อันวาร์ก็มาไทย โดยในทีมของอันวาร์ยังมีรัฐมนตรีแรงงานและรัฐมนตรีการค้าร่วมทริปมาด้วย
ในวันแถลงข่าว World Pulse เห็นหน้าซาฟรุล อับดุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ก็รีบปรี่เข้าไปทักทายเพราะทราบมาว่า เขามีภารกิจต้องบินไปกรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ World Pulse สอบถามถึงนโยบายของมาเลเซียที่จะนำไปหารือ เจ้าตัวเลี่ยงตอบยกให้เป็นหน้าที่นายกฯ อันวาร์ที่กำลังจะแถลงข่าวกับสื่อมาเลเซียและสื่อไทยในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
จังหวะนั้นพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยก็เดินเข้ามา เจอคำถามแบบเดียวกัน รมว.พาณิชย์ก็ไม่ตอบเหมือนกัน โดยให้เหตุผลว่า เรื่องภาษีทรัมป์ขอให้พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตอบแต่เพียงผู้เดียวเพื่อข้อมูลที่ตรงกัน (ตอนนั้นทีมไทยแลนด์มีกำหนดเดินทางไปวอชิงตันในสัปดาห์นี้ โดยมีรองนายกฯ พิชัยเป็นหัวหน้าทีม)
เมื่อไม่มีใครตอบเห็นที World Pulse ต้องถามนายกฯ อันวาร์ถึงจุดยืนของอาเซียนในเรื่องนี้ ได้คำตอบว่าอาเซียนมีฉันทามติเรื่องการค้าเสรีและพหุภาคีนิยม ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีแต่เพียงฝ่ายเดียวซึ่งสวนทางกับจิตวิญญาณแห่งข้อตกลงพหุภาคี น่ายินดีที่นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะของญี่ปุ่น และนายกรัฐมนตรีคริสโตเฟอร์ ลุกซัน ให้ความสำคัญกับกลไกอาเซียน เห็นพ้องเรื่องการเจรจากับสหรัฐและเจรจากันเองเพื่อหายุทธศาสตร์ร่วม
“ส่วนการเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้นเป็นการเตรียมการไว้ก่อน แน่นอนครับ จีนจะยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญยิ่งในภูมิภาค เป็นเพื่อนบ้านสำคัญ ลงทุนมากมายในอาเซียน และเขาให้ความเคารพกับกลไกอาเซียนอย่างมากด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่าการที่มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเพิ่งต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อาจถูกมองได้ว่าอาเซียนเอียงเข้าหาจีน ในฐานะประธาน มาเลเซียจะถ่วงดุลสองมหาอำนาจอย่างไร อันวาร์ตอบชัด
“การถ่วงดุลเป็นกระบวนการอันละเอียดอ่อน แต่จุดยืนของอาเซียนเรื่องความเป็นกลางนั้นชัดเจนมาก ตัวอย่างเช่น อีกไม่กี่วันผมจะส่งรัฐมนตรีการลงทุนไปวอชิงตัน คุณก็อาจตั้งคำถามได้ว่า ทำไมไม่ไปปักกิ่งก่อน มันไม่ใช่ประเด็นสำหรับผมเพราะสหรัฐยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในมาเลเซีย”
อันวาร์ขยายความว่า มาเลเซียส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปสหรัฐกว่า 60% จึงถือว่าสหรัฐเป็นหุ้นส่วนด้านการค้า การลงทุนที่สำคัญยิ่งและเป็นเพื่อน
“เราร่วมมือกันในทุกด้าน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องลดจุดยืนและความสัมพันธ์กับจีนเพราะจีนสนับสนุนมาเลเซียมากในด้านการค้า การลงทุน การพบปะทางการทูต” อันวาร์กล่าวและว่า หลายคนมักเชื่อมโยงจีนกับปัญหาในทะเลจีนใต้
“ผมย้ำเสมอ เรามีปัญหาชายแดนกับเพื่อนๆ ทุกประเทศ เพราะเราเป็นประเทศติดทะเล เรามีปัญหาชายแดนกับไทยในบางพื้นที่ เรามีปัญหากับบรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม แล้วทำไมถึงเลือกจีนประเทศเดียว ผมถามหน่อย? ดังนั้นผมคิดว่าเราต้องเดินหน้าสร้างสมดุลต่อไป มันยาก เผลอๆ ผมคงต้องเรียนรู้ศิลปะการสร้างสมดุลจากไทย” ประธานอาเซียนหยอดมุกทิ้งท้าย ให้เป็นที่รู้กันว่า ไม่ว่าประเทศเล็กประเทศใหญ่อย่างไรเสียก็ต้องคบค้าทั้งสหรัฐและจีน
ฟังนายกฯ มาเลเซียตอบชวนให้คิดถึงสำนวนไทย “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกราญ” สำนวนมาเลย์ก็มีเหมือนกัน “Gajah sama gajah berjuang, pelanduk mati ditengah-tengah” เมื่อช้างสารชนกัน กระจงก็ตายอยู่กลางวง ดังนั้นถ้าไม่อยากตายโดยไม่จำเป็น เหล่ากระจง กระจิบ กระจอก หรือหญ้าแพรกทั้งหลายก็ควรร่วมมือกันสร้างอำนาจต่อรอง ยืนยันหลักการพหุภาคีมิใช่เอกภาคีนิยม สงครามการค้าครั้งนี้ทุกคนเจ็บหมดมีแต่ใครจะเจ็บน้อยกว่าเท่านั้น บางทีคนตัวใหญ่อาจล้มดังกว่าก็ได้