ทั่วโลกจับตา 'เบสเซนต์' สหรัฐจะหนุนหรือถอนตัวจาก IMF - ธนาคารโลก

ทั่วโลกจับตา 'เบสเซนต์' สหรัฐจะหนุนหรือถอนตัวจาก IMF - ธนาคารโลก

‘ศึกการค้า’ เป็นประเด็นร้อนในการประชุม IMF และธนาคารโลกปีนี้ โดยสายตาทั่วโลกจับจ้องไปที่ “สก็อตต์ เบสเซนต์” ขุนคลังสหรัฐ และเป็นผู้นำเจรจาการค้า ท่ามกลางข้อสงสัยว่า สหรัฐยังคงสนับสนุน IMF และธนาคารโลกต่อหรือไม่

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ในสัปดาห์นี้ กรุงวอชิงตันแห่งสหรัฐจะต้อนรับผู้นำทางการเงินระดับโลกนับร้อยคน ซึ่งต่างมุ่งมั่นในภารกิจเดียว คือ การบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ

ขณะที่การประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลกนั้นเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ทั้งการหารือเชิงนโยบายระดับสูงในหลากหลายภาคส่วน ควบคู่ไปกับการประชุมแบบทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่ต้องการผลักดันข้อตกลงในประเด็นต่างๆ อาทิ การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการสำคัญ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศกลับสู่ประเทศตน และการบรรเทาภาระหนี้สิน

ในปีนี้ประเด็น “ภาษีศุลกากร” ได้โดดเด่นขึ้นมา จนบดบังประเด็นอื่นอย่างโลกร้อน เงินเฟ้อ และการช่วยเหลือยูเครน ซึ่งจุดสนใจในเวทีนี้อาจจะอยู่ที่บุคคลเดียว นั่นคือ “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐ ผู้เป็นหัวหน้าทีมเจรจาข้อตกลงด้านภาษีของทรัมป์ และยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามว่า "มีจุดยืนอย่างไรต่อ IMF และธนาคารโลก"

คริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการใหญ่ของ IMF กล่าวถึงการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในรายงาน World Economic Outlook ว่า การเติบโตจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ยังไม่ถึงขั้นถดถอย โดยสาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนที่เกินกรอบปกติ และความวุ่นวายของมาตรการภาษี

เนื่องจากการเจรจาระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐคืบหน้ากว่าหลายประเทศ และมีส่วนร่วมโดยตรงจากทรัมป์ คัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นจึงคาดว่า จะพบกับเบสเซนต์ เพื่อกลับมาเปิดการเจรจาอีกครั้งระหว่างการประชุม IMF และ ธนาคารโลก

ด้านชเว ซัง-มก รัฐมนตรีคลังของเกาหลีใต้ ก็ได้ตอบรับคำเชิญจากเบสเซนต์ เพื่อพบปะหารือกันในสัปดาห์นี้เช่นกัน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการค้า โดยกระทรวงการคลังของเกาหลีใต้ ระบุว่า ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมาก เกาหลีใต้กำลังพยายามขอเลื่อนการบังคับใช้ภาษีศุลกากร 25% และต้องการร่วมมือกับสหรัฐในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น พลังงาน และอุตสาหกรรมต่อเรือ

อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมการประชุมหลายคนยังคงตั้งคำถามถึงจุดยืนของรัฐบาลทรัมป์ต่อ IMF และธนาคารโลก โดย Project 2025 ซึ่งเป็นแถลงการณ์นโยบายของพรรครีพับลิกันสายขวาจัด ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจหลายอย่างของทรัมป์ ได้เสนอให้สหรัฐถอนตัวออกจากสองสถาบันนี้

“ดิฉันมองว่า รัฐมนตรีเบสเซนต์ จะมีบทบาทสำคัญมากในการประชุมครั้งนี้ เพื่อชี้แจงคำถามพื้นฐานบางอย่าง” แนนซี ลี อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิชาการนโยบายอาวุโสประจำศูนย์เพื่อการพัฒนาระดับโลกในกรุงวอชิงตัน

อาเจย์ บังกา ประธานธนาคารโลกกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาได้มีการหารืออย่างสร้างสรรค์กับรัฐบาลทรัมป์แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่า รัฐบาลชุดนี้จะจัดสรรงบประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสมทบกองทุนธนาคารโลกสำหรับประเทศยากจนหรือไม่ ซึ่งเป็นคำมั่นที่รัฐบาลโจ ไบเดนเคยให้ไว้เมื่อปีที่แล้ว

บังกายังคาดว่า จะปรับทิศทางการจัดสรรเงินทุนด้านพลังงานของธนาคารโลก จากเดิมที่เน้นพลังงานหมุนเวียน มาเป็นการรวมพลังงานนิวเคลียร์ และโครงการก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับลำดับความสำคัญของทรัมป์มากขึ้น

ด้านเม็ก ลันด์เซเกอร์, เอลิซาเบธ ชอร์ติโน และมาร์ค โซเบล อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐสามคน ซึ่งเคยเป็นตัวแทนของสหรัฐในคณะกรรมการบริหารของ IMF กล่าวว่า กองทุน IMF เป็นข้อตกลงทางการเงินที่ยอดเยี่ยมสำหรับอเมริกา โดย IMF มอบอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่สำคัญให้แก่สหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลัก โดยมีค่าใช้จ่ายเกือบเป็นศูนย์

“หากสหรัฐถอยห่างจาก IMF จีนจะเป็นฝ่ายชนะ อิทธิพลของเราช่วยให้เราสามารถกำหนดทิศทางของ IMF เพื่อบรรลุเป้าหมายของสหรัฐ” อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐ 3 คนกล่าว


อ้างอิง: reuters

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์