จับตาแบงก์ชาติทั่วโลก ‘ลดดอกเบี้ย’ รับมือสงครามการค้าทรัมป์

จับตาแบงก์ชาติทั่วโลก ‘ลดดอกเบี้ย’  รับมือสงครามการค้าทรัมป์

จับตาแบงก์ชาติทั่วโลก ‘ลดดอกเบี้ย’ ประคองเศรษฐกิจ รับมือสงครามการค้า ‘ทรัมป์’ คาดดอกเบี้ยเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วลดลง 0.50%

บลูมเบิร์ก รายงานว่าธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมที่จะ “ลดดอกเบี้ย” ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่กำลังได้รับผลกระทบจาก “สงครามการค้า” ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ถึงแม้ว่าธนาคารกลางจะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ แต่มาตรการภาษีศุลกากรที่ทรัมป์ใช้ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเองจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยองค์กรการค้าโลก (WTO) ได้คาดการณ์แล้วว่าการค้าระหว่างประเทศจะลดลงในปีนี้ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็เตรียมที่จะปรับลดประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจลงในสัปดาห์นี้

นักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg Economics มองว่าเจ้าหน้าที่การเงินส่วนใหญ่พร้อมที่จะลดต้นทุนการกู้ยืม หรือลด ดอกเบี้ย แม้ว่าจะยังคงมีความระมัดระวังอยู่ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายหลักคือ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้เหลือน้อยที่สุด โดยคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วจะลดลงประมาณครึ่งเปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปีนี้

จับตาแบงก์ชาติทั่วโลก ‘ลดดอกเบี้ย’  รับมือสงครามการค้าทรัมป์

แบงก์ชาติกลุ่ม G7

ธนาคารกลางสหรัฐ (FED)

  • อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน : 4.5%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: คาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งเดียวในปีนี้ ในไตรมาสที่ 4 สู่ระดับ 4.25% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ถึง 3 ครั้ง
  • ตลาด: ตลาดเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2025 และมีโอกาสถึง 60% ที่จะลดลง 4 ครั้ง นอกจากนี้ ตลาดสวอปยังประเมินว่ามีโอกาส 70% ที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในปีนี้ในเดือนมิถุนายน โดยคาดว่าจะลดลง 0.25% ในแต่ละครั้ง

นโยบายภาษีที่เข้มงวดของทรัมป์ในปีนี้ ได้สร้างความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวทางนโยบายของเฟด เนื่องจากความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และภาคธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกังวลว่านโยบายใหม่นี้อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง และผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แม้ว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตาม

 สำหรับเฟด สถานการณ์นี้นำไปสู่การตัดสินใจที่ยากลำบากว่าจะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานขึ้น หรืออาจขึ้นดอกเบี้ย เพื่อจัดการกับแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น 

ในขณะนี้ เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดยังคงอยู่ในท่าที "รอและดู" เพื่อประเมินข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามาอย่างรอบคอบ  

เอสเตลลา โอ นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กอีโคโนมิกส์ กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2025 โดยดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟดอย่างมาก คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เริ่มกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับแรงกดดันด้านราคาที่เกิดจากภาษีศุลกากร 

ธนาคารกลางยุโรป(ECB)

  • อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบัน: 2.25%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: คาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงมาอยู่ที่ 1.75% โดยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25%  ในเดือนมิถุนายน และเดือนกันยายน
  • ตลาด:  ตลาดคาดหวังว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 3 ครั้งภายในปีนี้ โดยการปรับลดครั้งต่อไปนั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน

สำหรับทวีปยุโรป หากมาตรการเก็บภาษีของทรัมป์ไม่ได้รับการผ่อนปรน คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่แข็งแกร่งนัก แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากของเยอรมนี และการลงทุนด้านอาวุธที่เพิ่มขึ้นทั่วทวีป แต่ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นก็อาจกระทบอัตราเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวเข้าสู่เป้าหมาย 2% ของ ECB

เดวิด พาวเวลล์ จาก Bloomberg Economics มองว่ามาตรการภาษีศุลกากรจำนวนมากของสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้า และบริการในกลุ่มประเทศยูโรโซน และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ภาวะเงินฝืดในระยะกลาง

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) 

  • อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน: 0.5%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: 0.75%
  • ราคาตลาด: ตลาดสวอปเผยแนวโน้ม BOJ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.50% ภายในปีนี้ 

ในไตรมาสนี้ งานที่สำคัญของ คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ  คือ การประเมินว่ามาตรการภาษีของสหรัฐที่ประกาศโดยทรัมป์นั้น จำเป็นต้องมีการทบทวนแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ หรือไม่

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ มุมมองของทรัมป์ต่อ “ค่าเงินเยน” ซึ่งทรัมป์เคยเตือนเกี่ยวกับการ "จัดการสกุลเงิน" แม้ว่ากระทรวงการคลังญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงตลาดเงินตราหลายครั้งเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงมากเกินไป แต่หากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าลง BOJ อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ต้องเลือกระหว่างแรงกดดันทางการเมืองที่ต้องการให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น กับความเสี่ยงที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอลง

ทาโร่ คิมูระ จาก Bloomberg Economics มองว่า "พายุภาษี" ของทรัมป์ได้สร้างความซับซ้อนให้กับการตัดสินใจเชิงนโยบายของ BOJ ความผันผวนในตลาดการเงินจะบังคับให้ BOJ ต้องชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.

ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE)

  • อัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน: 4.5%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: 3.75%
  • ตลาดการเงิน: คาดการณ์ว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง และมีโอกาส 50% ที่จะลดลงเป็นครั้งที่ 4 โดยประเมินว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือนพ.ค.

ภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนทำให้ BoE ลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น พร้อมจับตาดูผลกระทบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ ตลาดแรงงานที่ซบเซา และราคาพลังงานที่ร่วงลง

แอนดรูว์ เบลีย์ผู้ว่าการ BoE เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง จากกำลังเผชิญกับความท้าทายจากทั้งเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความตึงเครียดทางการค้า 

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์มองว่ามาตรการภาษีของสหรัฐ อาจทำให้เกิดภาวะเงินฝืดในสหราชอาณาจักรได้หากภาษีเหล่านี้ทำให้ความต้องการสินค้าทั่วโลกลดลง และนำไปสู่การระบายสินค้าในตลาดอังกฤษในราคาถูก

ธนาคารกลางกลุ่ม BRICS

ธนาคารกลางจีน (PBOC)

  • อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (Reverse Repo Rate) ระยะ 7 วัน : 1.5%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: 1.20%

นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่าภาษีทรัมป์อาจทำให้การเติบโตของจีนลดลงประมาณ 2%ในปีนี้ อาจกระตุ้นให้ PBOC ผ่อนปรนนโยบายการเงิน โดยจีนส่งสัญญาณว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ผันผวน รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยหรืออัตราส่วนเงินสำรองที่กำหนดปริมาณเงินสดที่ธนาคารต้องสำรองไว้ 

ตั้งแต่ต้นปี ธนาคารกลางได้ให้ความสำคัญกับการปกป้องเงินหยวนเป็นอันดับแรก

 เดวิด คู จาก Bloomberg Economics มองว่า ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (PBOC) ได้ส่งสัญญาณถึงแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยระบุว่ามาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์นั้นส่งผลกระทบรุนแรงกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่พวกเขาเคยคาดการณ์ไว้ และ PBOC พร้อมที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว คาดว่า  PBOC จะดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลัก และลดอัตราส่วนการดำรงเงินสำรองขั้นต่ำ (RRR) ภายในเดือนเมษายนนี้ และจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมตลอดทั้งปี

ธนาคารกลางอินเดีย (RBI)

  • อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (Repo Rate) ปัจจุบัน: 6%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: 5%

 RBI ลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.25% มาอยู่ที่ 6% ในวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ติดต่อกัน  จากการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจ  

ซานเจย์ มัลโฮตรา ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียคนใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ กล่าวในแถลงการณ์ว่า ความไม่แน่นอนด้านการค้า และนโยบายในระดับโลกอาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบต่อเงินเฟ้ออาจไม่น่ากังวลมากนัก

 อภิเษก กุปตะ จาก  Bloomberg Economics คาดว่า RBI จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นลงมาอยู่ที่ระดับ 5.0% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 จากระดับปัจจุบันที่ 6.0% โดยก่อนหน้านี้ ตลาดคาดการณ์โดยทั่วไปว่าจะอยู่ที่ 5.75% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568

ธนาคารกลางรัสเซีย

  • อัตราดอกเบี้ยหลักปัจจุบัน: 21%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: 16%

ปัจจุบัน ธนาคารกลางรัสเซียคงอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 21% ตลอดไตรมาสแรกของปี 2025 โดยระบุว่า "จำเป็นต้องรักษาสภาวะทางการเงินที่เข้มงวดเป็นเวลานาน" เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อรายปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 10% กลับสู่เป้าหมาย 4% ภายในปี 2569 

ธนาคารกลาง กลุ่ม G-20 

ธนาคารกลางอินโดนีเซีย(BI)

  • อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repurchase rate) ระยะเวลา 7 วัน ปัจจุบัน: 5.75%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568: 5.25%

BI จะพิจารณาดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในปี 2568 หากสภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวย แม้ว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เข้มแข็งจะสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาโดยตลอด 

อย่างไรก็ตาม เพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการ BI ย้ำว่า เสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์  จะเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบการพิจารณา 

ค่าเงินรูเปียห์เป็นสกุลเงินที่มีผลตอบแทนแย่ที่สุดในเอเชียในปีนี้ หลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ ปราโบโว ซูเบียนโต ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้าโลก

Bloomberg Economics ประเมินว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ต่อเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสแรก ความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้า

ธนาคารกลางเกาหลีใต้(BOK)

  • อัตราดอกเบี้ยหลักปัจจุบัน : 2.75%
  • บลูมเบิร์กคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2568 : 2%

BOK กำลังพิจารณาผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า 25% ของทรัมป์ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจะประเมินว่ามาตรการนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้อย่างไรบ้าง โดยธนาคารกลางกำลังพิจารณาว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปเมื่อใด

ฮโยซอง ควอน จาก Bloomberg Economics มองว่า BOK กำลังเผชิญกับแรงกดดันให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีแทนที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างรวดเร็ว BOK อาจหันไปใช้เครื่องมือด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือภาคส่วนที่ต้องการ และคาดว่า BOK จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2.0% ภายในปีนี้ โดยจะปรับลดลง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25%

 

 

อ้างอิง Bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์