อะไรทำให้ ‘ดอลลาร์’ เสื่อมพลัง หรือนี่คือสิ่งที่ ‘ทรัมป์’ ต้องการ?

เมื่อตลาดการเงินปั่นป่วน นักลงทุนจะวิ่งเข้าหา "สินทรัพย์ปลอดภัย" อย่าง “ดอลลาร์” แต่หลังจาก “ ทรัมป์” ประกาศภาษีใหม่ ดอลลาร์จนอ่อนค่าลงอย่างหนักในรอบ 3 ปี
KEY
POINTS
- ดอลลาร์สกุลเงินหลักโลกที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้อเมริกากลับอ่อนค่าลงอย่างหนักในรอบ 3 ปี และอ่อนค่าไปถึง 7% นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง
- นโยบายของทรัมป์กำลังกัดกร่อนบทบาทของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักที่ใช้ในการค้าและการลงทุนทั่วโลก รวมทั้งยังทำให้ "ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ" แย่ลง
- หรือทรัมป์อาจจะต้องการให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เพราะดอลลาร์แข็งค่าเป็นอุปสรรคต่อผู้ส่งออกของอเมริกัน ทำให้ "ระเบียบการเงินโลกใหม่" ที่เรียกว่า "Mar-a-Lago Accord"
หลังจากที่ “ทรัมป์” ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตราที่ไม่เคยมีมาก่อนกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา จนมีนักวิเคราะห์หลายคนชี้ไปที่รัฐบาลของทรัมป์ว่าเป็นต้นเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับค่าเงินดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัทจัดการสินทรัพย์ Amundi มองว่าดอลลาร์ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นได้ ด้วยตัวของมันเอง ที่ผ่านมา “ดอลลาร์” มี 3 เสาหลักสำคัญค้ำจุนไว้ ทั้งตลาดทุนที่แข็งแกร่งของสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และเครือข่ายพันธมิตรด้านความมั่นคงระดับโลก
แต่ตอนนี้ เสาทั้ง 3 นี้กำลังเผชิญกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น จากนโยบายต่างประเทศของสหรัฐที่มีการเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น และตลาดหุ้นที่ดูเหมือนจะขยายตัวมากเกินไป
จนหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า “ดอลลาร์” สกุลเงินหลักที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้อเมริกาจะดำเนินไปในทิศทางใด สู่จุด “รุ่งเรือง” หรือ “เสื่อมถอย” กันแน่
ล่าสุด Financial Times เผยแพร่บทความของ แบร์รี่ ไอเคนกรีน (Barry Eichengreen) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Exorbitant Privilege: The Rise and Fall of the Dollar” (อภิสิทธิ์อันล้นพ้น: การผงาดขึ้นและร่วงลงของดอลลาร์)
ไอเคนกรีนมองว่า นโยบายของทรัมป์กำลังกัดกร่อนบทบาทของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักที่ใช้ในการค้าและการลงทุนทั่วโลก รวมทั้งยังทำให้ "ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ" แย่ลง
เรื่องนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเงินดอลลาร์กับตลาดโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะนอกเหนือจากเรื่องสงครามการค้า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ ทรัมป์กำลังเปลี่ยนแปลงบทบาทของสหรัฐในเวทีโลก
พันธมิตรที่เปลี่ยนไป…
ความท้าทายใหม่ต่ออำนาจเงินดอลลาร์
การที่ "เงินดอลลาร์" เป็นสกุลเงินที่สำคัญไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่เพราะเศรษฐกิจอเมริกามีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมาจาก "ความเชื่อใจ" ที่ประเทศพันธมิตรต่างๆ มีต่ออเมริกา ในฐานะผู้ค้ำประกันความมั่นคงของโลก
ในอดีต ประเทศต่างๆ มักจะเก็บเงินสกุลของประเทศที่เป็นพันธมิตรกันไว้ในคลังของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพื่อเศรษฐกิจมั่นคง แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึง "ความเชื่อใจ"
เหล่าประเทศพันธมิตรของสหรัฐ อย่างเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และอีกหลายประเทศ ได้ร่วมสนับสนุนดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินของโลก เพราะอเมริกาเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยดูแลความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติ ทำให้มีกองทัพสหรัฐประจำการแต่ละประเทศ
แต่ตอนนี้ พันธมิตรของสหรัฐกำลังคิดใหม่ จากคำมั่นสัญญาของสหรัฐในฐานะผู้นำด้านความมั่นคงของโลกดูเหมือนจะมีเงื่อนไขมากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ความขัดแย้งล่าสุดระหว่างสหรัฐและยูเครน เกี่ยวกับความช่วยเหลือทางทหารและการที่อเมริกาดูเหมือนจะไปสนิทกับรัสเซียแทน ด้วยเหตุนี้ หากสหรัฐถูกมองว่ากำลังห่างเหินจากพันธมิตร และไม่เป็น “เสาหลักทางความมั่นคง” อีกต่อไป ประเทศเหล่านี้อาจสูญเสียความมั่นใจในการถือครองดอลลาร์ และอาจทำให้ฐานะสกุลเงินนี้อ่อนแอลง
ยิ่งไปกว่านั้น "อีลอน มัสก์" ยังสนับสนุนให้ทรัมป์พาอเมริกาออกจากกลุ่มนาโต้ (กลุ่มประเทศพันธมิตรด้านความมั่นคง) ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์ของเงินดอลลาร์ยิ่งแย่ลงไปอีก
จากความไม่แน่นอนนี้เอง บรรดาพันธมิตรของสหรัฐกำลังเริ่มทบทวนความเสี่ยงจากการพึ่งพาทางยุทธศาสตร์และทางการเงินจากสหรัฐ เพียงอย่างเดียว และเริ่มมองหาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงของตัวเอง ซึ่งอาจรวมถึงการลดการถือครองเงินดอลลาร์และหันไปถือครองสกุลเงินอื่น หรือสินทรัพย์อื่น ๆ
เหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างชัดเจน คือการที่ รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีได้ตัดสินใจที่จะยกเว้นการใช้จ่ายด้านกลาโหมจากการจำกัดการขาดดุล ซึ่งหมายความว่าเยอรมนีจะสามารถเพิ่มงบประมาณทางการทหารได้
การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของยุโรปในการ ให้ความสำคัญกับการสร้างระบบป้องกันตนเองที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของการลดการพึ่งพาสหรัฐ ในด้านความมั่นคง
พันธมิตรเริ่มกระจายความเสี่ยง
นอกจากนี้ การที่อเมริกาชอบใช้ "นโยบายคว่ำบาตร" ทั้งการห้ามค้าขายหรือทำธุรกรรม กับประเทศอื่นๆ มากขึ้น โดยอเมริกาใช้นโยบายคว่ำบาตรกับประเทศอื่นเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2000 ที่มีการคว่ำบาตรแค่ 912 ราย เพิ่มขึ้นเกือบ 1000% มาเป็น มากกว่า 9,400 ราย ในปี 2021
รวมถึงการที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตร รัสเซียในปี 2022 ได้สร้างความวิตกกังวล ให้หลายประเทศเริ่มกลัวและอยากลดการใช้เงินดอลลาร์ เพราะกลัวว่าเงินของตัวเองจะถูกอเมริกาแช่แข็งหรือถูกยึดได้ เหมือนที่ "รัสเซีย" โดน
ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งกร้าวของทรัมป์ในวาระที่สอง ได้ลุกลามบานปลายไปยังประเทศพันธมิตร อย่าง แคนาดาและกรีนแลนด์ ด้วยวิธีการ ขู่ขึ้นภาษี หรืออยากรวมแผ่นดินไว้ในครอบครอง
เรื่องนี้ ก็ยิ่งหนุนให้ชาติต่าง ๆ หันไปพิจารณาถึงการใช้สกุลเงินทางเลือกอื่นมากขึ้น และแนวโน้มนี้อาจทำให้อำนาจของดอลลาร์ในด้านการค้าและการเงินระหว่างประเทศเสื่อมถอยไปโดยปริยาย
ประเทศที่แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากประเทศ “ จีน” ที่ตอนนี้เดินหน้าผลักดันระบบการชำระเงินทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับเงินดอลลาร์ อย่าง “หยวนดิจิทัล”อย่างต่อเนื่อง
ระบบการเงินระหว่างประเทศเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อธนาคารกลางจีน (PBoC) ได้ประกาศว่า ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนของ “หยวนดิจิทัล” จะเชื่อมต่อกับ “10 ประเทศในอาเซียน” และ “6 ประเทศในตะวันออกกลาง” ซึ่งหมายความว่า ประมาณ 38% ของการค้าระหว่างประเทศ อาจสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ดอลลาร์ในระบบ SWIFT ที่เคยครองตลาดมาอย่างยาวนาน
นอกจากนี้ การรวมกลุ่มของสมาชิกกลุ่มบริกส์ทั้ง 11 ประเทศและพันธมิตร ก็ได้มีการเดินหน้าโครงการระบบชำระเงิน อย่าง “BRICS Pay” เพื่อที่จะผลักดันให้เกิดระบบการชำระเงินที่เป็นเอกราช และลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์
อย่างไรก็ดี กลุ่มประเทศ BRICS คุยกันเรื่อง De-dollarization มาหลายปีแล้ว แต่หลายสำนักวิเคราะห์มองว่า การลดบทบาทเงินดอลลาร์จริงๆ ถึงขั้นทำให้ดอลลาร์ไม่เป็นสกุลเงินหลักของโลกอีกต่อไปนั้น ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากในปัจจุบัน
กองหนี้ ‘สหรัฐ’ สูงขึ้นเรื่อยๆ
ความเสี่ยงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะไม่น่ากังวลเลย ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นในตอนที่สหรัฐมีกองหนี้มหาศาล ซึ่ง “ปัญหาทางการคลังของสหรัฐ” นี้เองอาจผลักดันให้ดอลลาร์ตกต่ำในอนาคตอันใกล้
สำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) คาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ (GDP) จาก 99% ในปี 2024 ไปเป็น 166% ในปี 2054
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประธานาธิบดีทรัมป์ผลักดันนโยบายลดภาษีครั้งใหญ่อีกครั้ง จะยิ่งทำให้ "หนี้" เพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ของรัฐบาล
เมื่อหนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมาก นักลงทุนทั่วโลกอาจเริ่มสงสัยในความสามารถของสหรัฐในการชำระหนี้และอาจตั้งคำถามถึงมูลค่าที่แท้จริงของเงินดอลลาร์
นอกจากนี้ ความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์ขึ้นอยู่กับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐที่ไม่ถูกครอบงำจากสถานการณ์ทางการเมือง แต่ทรัมป์กำลังท้าทายอำนาจเฟด ด้วยการการพยายามเข้าไปควบคุม "เฟด" ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ โดยทรัมป์เคยออกคำสั่งให้หน่วยงานอิสระ รวมถึงเฟดต้องส่งเรื่องกฎหมายต่างๆ ให้ทำเนียบขาวดูก่อน
หากนักลงทุนและตลาดโลกมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐสูญเสียความเป็นอิสระ และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองแล้ว ความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์อาจสั่นคลอน และสถานะสกุลเงินนี้อาจถูกท้าทาย
กระแสเงินทุนเปลี่ยนทิศทาง
จากที่นักลงทุนเคยคิดว่านโยบายทรัมป์จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอเมริกา ภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ประกาศใช้นั้นครอบคลุมสินค้าหลากหลายมาก จนนักลงทุนเริ่มกลัวว่าสหรัฐเองนั่นแหละที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด กระทบราคาสินค้าแพงขึ้นขึ้นและเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง ธนาคารเพื่อการลงทุนหลายแห่งถึงกับเพิ่มความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
สถานการณ์นี้ทำให้นักลงทุนจำนวนมากได้พากันเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ค่าเงิน “เงินเยน” ของญี่ปุ่น ฟรังก์สวิส พันธบัตรรัฐบาล และทองคำ
แม้ยังไม่มีสกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่จะสามารถเข้ามาแทนที่เงินดอลลาร์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปคือ การก่อตัวของระบบการเงินโลกที่มีความหลากหลายมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทั่วโลกได้เพิ่มการซื้อทองคำสำรองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความต้องการในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น
ข้อมูลจาก สภาทองคำโลก (World Gold Council) ประมาณการว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำสำรองรวมกันประมาณ 1,000 ตันในปี 2024 ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และความต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์อื่น ๆ จนทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทันทีหลังจากการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร
แผนลับ Mar-a-Lago Accord
หรือทรัมป์อาจจะต้องการให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ทั้งตัวประธานาธิบดีทรัมป์และรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ กลับอยากให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง เพราะมองว่าดอลลาร์แข็งค่า ทำให้สินค้าส่งออกของสหรัฐมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่น เช่น จีนและญี่ปุ่น ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นอุปสรรคต่อผู้ส่งออกของอเมริกันและเป็นเหตุผลหนึ่งในการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า
เรื่องนี้ทำให้ "ระเบียบการเงินโลกใหม่" ที่เรียกว่า "Mar-a-Lago Accord" ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา โดยแนวคิดนี้ถูกเสนอโดย สตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) นักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทรัมป์
มิแรนมองว่า เพื่อแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าที่อเมริกากำลังเผชิญ เงินดอลลาร์ "ควรจะอ่อนค่าลง" ในขณะเดียวกัน ก็ต้องการรักษาบทบาทของดอลลาร์ในฐานะ "สกุลเงินหลักของโลก" ให้ทั่วโลกยอมรับ แต่เป้าหมายทั้งสองนี้ดูเหมือนจะสวนทางกัน เพราะการที่ดอลลาร์ยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสกุลเงินหลัก มักจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
เพื่อแก้ปัญหานี้ มิแรนจึงเสนอแผนการที่ซับซ้อน โดยเสนอให้ประเทศที่ต้องการเก็บ "ดอลลาร์" เป็นทุนสำรอง และ "ไม่อยากโดนภาษีการค้า" ให้ถือดอลลาร์ในรูปแบบของ "พันธบัตรรัฐบาลอายุ 100 ปี" ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังเสนอให้ประเทศต่างๆ ที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในรูปแบบอายุอื่นๆ เปลี่ยนมาเป็นพันธบัตร 100 ปีด้วย
แผนการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการถือครองเงินดอลลาร์โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง นอกจากนี้ ยังช่วยลดภาระหนี้ของสหรัฐฯ ในระยะยาว เพราะมูลค่าหนี้ในอนาคต (5 ปี, 10 ปี, 100 ปี) จะลดลงไปเรื่อยๆ ตามเวลา
แต่แผนการนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักวิเคราะห์ และยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์จะนำแผนการนี้ไปปฏิบัติจริงหรือไม่
อนาคต ‘ดอลลาร์’ จะเป็นยังไง?
เปอร์ จานสัน (Per Jansson) รองผู้ว่าการธนาคารกลางของสวีเดน มองว่าการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในช่วงนี้ แสดงให้เห็นว่าความกังวลเกี่ยวกับสถานะของดอลลาร์ได้ "ทิ้งร่องรอย" ไว้ในตลาดการเงินแล้ว
แต่อนาคตของดอลลาร์ สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ หาก “ทรัมป์” สามารถ ฟื้นความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ด้วยนโยบายที่ส่งเสริมการเติบโต เช่น การลดภาษีและการลดกฎระเบียบ หรือการเจรจาทางการค้า ที่ผ่อนคลายมากขึ้น
แม้จะมีการคาดการณ์เชิงลบมากมาย แต่เงินดอลลาร์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของระบบการเงินโลก โดยมีส่วนเกี่ยวข้องในเกือบ 90% ของธุรกรรมทั้งหมดในตลาดเงินตราต่างประเทศที่มีมูลค่าการซื้อขาย 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
ดอลลาร์ยังทรงพลังอยู่ได้ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่เพราะคนชอบหรือไม่ชอบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา แต่เป็นเพราะ ยังไม่มีเงินสกุลอื่นที่น่าเชื่อถือพอจะมาแทนที่ได้ แม้แต่เงินหยวนของจีน ก็ยังห่างไกลจากการเป็นคู่แข่งที่แท้จริง แต่ถ้าสถานะของดอลลาร์เปลี่ยนไปจริง ๆ มันจะเป็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเศรษฐกิจโลก และจะสร้างความวุ่นวาย อย่างมหาศาล







