‘อาวุธภาษี’ ย้อนเข้าตัว! สะเทือน ‘ฐานเสียงทรัมป์’

เมื่อทรัมป์หวังใช้ ‘อาวุธภาษี’ ในอัตราทะลุร้อย บีบคั้นให้จีนยอมจำนน กลับกลายเป็นว่า “คมดาบภาษี” ได้ย้อนกลับมาทำให้ “ฐานเสียง” ของตนเดือดร้อนด้วย โดยเฉพาะเกษตรกรที่กำลังเผชิญวิกฤติถั่วเหลือง หลังสูญเสียตลาดจีน ซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่กว่าครึ่ง หันไปคว้าถั่วเหลืองจากบราซิลแทน
KEY
POINTS
- “คมดาบภาษีทรัมป์” ได้ย้อนกลับมาทำให้ “ฐานเสียง” ของตนเดือดร้อนด้วย โดยเฉพาะเกษตรกรที่กำลังเผชิญวิกฤติถั่วเหลือง หลังสูญเสียตลาดจีน
- จีนเป็นผู้ซื้อถั่วเหลือง “อันดับ 1” ของสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 50% ของยอดส่งออกถั่วเหลืองของอเมริกา
- ตัวทรัมป์ ไม่ได้เปิดศึกเพียงจีน แม้แต่เพื่อนบ้าน “แคนาดา” ก็ไม่ละเว้น โดย “แร่โปแตช” จากแคนาดาที่ใช้ทำปุ๋ย ถูกเก็บภาษี 10% นั่นจึงทำให้ราคาปุ๋ยแพงขึ้นกว่าเดิม
ในสมรภูมิการค้าที่ยังคงร้อนระอุ เมื่อทรัมป์เปิดฉากยิงกระสุน “ภาษี” ใส่จีน มังกรก็สวนกลับอย่างดุเดือด จนอัตราภาษีพุ่งทะยานสู่ระดับทะลุร้อย ซึ่งเสมือนเป็นการ “ปิดประตูการค้า” ระหว่างกันโดยปริยาย ในขณะที่ทรัมป์คาดหวังว่า การเดินเกมครั้งใหญ่นี้จะบีบให้จีนจำนนต่อการเจรจา แต่ในอีกด้าน กลับส่งผลสะเทือนต่อ “ฐานเสียงทรัมป์” ด้วย โดยเฉพาะ “เกษตรกร”
เหตุผลเพราะในการเมืองอเมริกันที่มี 2 พรรคใหญ่ ขณะที่ “ฐานเสียงพรรคเดโมแครต” อยู่ตามเขตเมืองใหญ่และชายฝั่ง “ฐานเสียงพรรครีพับลิกัน” มีสัดส่วนสำคัญที่มาจากภาคเกษตรกรรม และฟาร์มปศุสัตว์ โดยเฉพาะใน “รัฐเกษตร” แถบ Midwest และที่ราบใหญ่ Great Plains เช่น รัฐไอโอวา เนบราสกา แคนซัส นอร์ทดาโคตา เซาท์ดาโคตา มิสซูรี เคนตักกี้ ฯลฯ
หนึ่งในพืชเกษตรที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ “ถั่วเหลือง” เนื่องจากจีนเป็นผู้ซื้อถั่วเหลือง “อันดับ 1” ของสหรัฐ โดยเมื่อปี 2024 จีนซื้อจากสหรัฐด้วยมูลค่า 12,840 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 50% ของยอดส่งออกถั่วเหลืองของสหรัฐ
นี่หมายความว่า เมื่อทั้งสองประเทศปิดประตูการค้ากันแล้ว เกษตรกรอเมริกัน ที่เป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์ กำลังเผชิญความยากลำบากในการหาตลาดใหม่ เพื่อรองรับผลผลิตถั่วเหลืองของตน เนื่องจากภาษีที่สูงขึ้นอย่าง “ฉับพลัน” อีกทั้งการหาตลาดใหม่ เพื่อทดแทน “สัดส่วน 50%จากจีนที่หายไป” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงถั่วเหลืองยังสามารถเน่าเสียได้ด้วย
ในขณะที่แดนมังกรได้หันไปซื้อถั่วเหลืองจาก “บราซิล” แทน เพื่อป้อนประชากรจีน 1,400 ล้านคน
แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ทรัมป์ก็ลำบาก
เคเลบ แร็กแลนด์ เกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองในชุมชนแมกโนเลีย รัฐเคนตักกี้ และยังเป็นแฟนพันธุ์แท้ทรัมป์ โดยลงคะแนนเสียงให้กับ ประธานาธิบดีทรัมป์ ในปี 2016, 2020 และ 2024 แต่ในขณะนี้ เขากำลังเผชิญผลกระทบจาก ภาษีการค้า
“หากลูกชายของผมยังคงทำฟาร์มต่อไปได้ พวกเขาก็อาจเป็นเกษตรกรรุ่นที่ 10” แร็กแลนด์ ซึ่งควบตำแหน่งประธานสมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน (American Soybean Association) กล่าว “เมื่อมีนโยบายที่เราควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งส่งผลให้ราคาพืชผลของเราผันผวนถึง 20% หรือ 30% ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับสูงขึ้น เราก็คงไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้”
“ภาษีทำลายความไว้วางใจ” แร็กแลนด์กล่าว “การหาลูกค้ารายใหม่นั้น ยากยิ่งกว่าการรักษาลูกค้าเก่าที่คุณมีอยู่มาก”
อย่างไรก็ตาม แร็กแลนด์ยังคงเชื่อมั่นความสามารถในการเจรจาต่อรองของประธานาธิบดี และคาดหวังให้ทรัมป์ทำสำเร็จเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่เขาเน้นย้ำว่า ผู้คนในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตถั่วเหลือง ไม่มีศักยภาพที่จะทนทานต่อศึกการค้านี้ในระยะยาว
“เกษตรกรหลายรายกำลังไม่พอใจ” แร็กแลนด์กล่าวถึงความรู้สึกโดยรวมของเหล่าเพื่อนเกษตรกร โดยเน้นย้ำว่า พวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน “นี่คือเรื่องของปากท้อง และความเป็นอยู่ของผู้คน” เขากล่าว
ด้านสก็อตต์ เกอร์ลท์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสมาคมถั่วเหลืองอเมริกันกล่าวว่า “ในปี 2024 จีนซื้อถั่วเหลืองส่งออกของเราไปถึง 52 เปอร์เซ็นต์” พร้อมเสริมว่า “ด้วยปริมาณการซื้อจำนวนมากของจีน ทำให้ไม่สามารถหาตลาดอื่นมาทดแทนได้ง่าย”
เปิดศึกแคนาดา ทำปุ๋ยแพง
สำหรับตัวทรัมป์ เขาไม่ได้เปิดศึกเพียงจีนเท่านั้น แม้แต่เพื่อนบ้านอันเก่าแก่อย่าง “แคนาดา” ก็ไม่ละเว้น ด้วยภาษีการค้า 25% ส่วน “แร่โปแตช” จากแคนาดาที่ใช้ทำปุ๋ย ถูกเก็บภาษี 10% นั่นจึงทำให้ราคาปุ๋ยเกษตรแพงขึ้นกว่าเดิม
เหตุผลเพราะ “แคนาดา” เป็นผู้จัดหาแร่โปแตชสำหรับทำปุ๋ยให้แก่เกษตรกรอเมริกันมากกว่า 80% ของความต้องการทั้งหมด ซึ่งต้นทุนจากภาษีมีแนวโน้มถูกส่งต่อไปยังเกษตรกรสหรัฐ
“นี่จะทำให้สหรัฐสูญเสียธุรกิจส่งออกไปมาก” แจ็ค สโควิลล์ รองประธานกลุ่ม Price Futures Group ในชิคาโกกล่าว “เรากำลังสร้างความขุ่นเคืองให้กับทุกคน นั่นแหละคือปัญหา แล้วเราจะหันหน้าไปพึ่งใครได้ ในเมื่อเราเล่นงานทุกคนด้วยภาษี?”
โอกาสไทยใช้เป็นไพ่ต่อรอง?
แน่นอนว่าการที่สหรัฐตัดขาดจากตลาดจีนด้วยภาษี 145% ให้ประโยชน์ต่อ “บราซิล” อย่างมาก จนผงาดขึ้นเป็น “ผู้ส่งออกถั่วเหลืองอันดับ 1 ของโลก” ในการป้อนพืชเกษตรนี้ให้จีน ในขณะที่เกษตรกรอเมริกันกำลังเดือดร้อนว่าจะขายให้ใคร
คาร์ลอส เมรา หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดสินค้าเกษตรของ Rabobank ผู้ให้บริการทางการเงินแห่งเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า “บราซิลจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักอย่างมาก เป็นผู้จัดหารายใหญ่ที่สุดที่สามารถทดแทนถั่วเหลืองของสหรัฐให้กับจีนได้ โดยประเทศอื่นๆ ก็อาจได้รับประโยชน์เช่นกัน รวมถึงอาร์เจนตินาและปารากวัย ส่วนข้าวสาลี ออสเตรเลียและอาร์เจนตินาได้รับประโยชน์”
ขณะเดียวกัน สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสให้ไทยใช้เป็น “หมากสำคัญ” ในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐ เพื่อลดหย่อนภาษีการค้าหรือไม่ ในเมื่อฐานเสียงทรัมป์กำลังเผชิญความยากลำบาก หากการนำเข้าสินค้าเกษตรนี้ ไม่ได้กระทบต่อราคาตลาดในไทยอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้การเจรจากับสหรัฐเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น จากการที่สหรัฐพยายามตัดขาดจากจีน ไทยอาจลองใช้โอกาสทองนี้ในการเจรจาเสนอแนวคิด “Made in Thailand” ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 23 เมษายนนี้ ซึ่งโอกาสเช่นนี้หาได้ไม่ง่ายนัก แม้สินค้า “Made in Thailand” อาจมิได้มีราคาถูกเท่าสินค้าจากจีน แต่ด้วยคุณภาพที่น่าเชื่อถือ แรงงานไทยที่มีทักษะ และต้นทุนที่แน่นอนว่าต่ำกว่า “Made in USA” ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการเสนอให้ทรัมป์พิจารณาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ “ทดแทนจีน”
อ้างอิง: reuters, reuters(2), cnn, cnbc, aljazeera