'ตลาดบอนด์ผันผวน' IMF เตือนสัญญาณเสี่ยง แนะเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจ

IMF เตือน เศรษฐกิจโลกเปราะบาง ขาดความเชื่อมั่นระบบการค้าโลก ตลาดการเงินผันผวน การเติบโตชะลอตัว แนะทุกประเทศต้องเร่งสร้างเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจภายใน
KEY
POINTS
- ผู้อำนวยการ IMF เตือนว่าความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจโลกกำลังถูกทดสอบจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและการปรับโครงสร้างระบบการค้าโลกที่กำลังเกิดขึ้น
- ความตึงเครียดทางการค้าส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก โดยสร้างต้นทุนมหาศาลจากความไม่แน่นอน ลดการเติบโตในทันที และส่งผลเสียต่อผลิตภาพในระยะยาว
- IMF จะเผยแพร่รายงาน World Economic Outlook ที่จะปรับลดการคาดการณ์การเติบโตและปรับเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อในบางประเทศ
- ประเทศต่างๆ ต้องรีบดำเนินการทางการคลังอย่างเด็ดขาด ฟื้นฟูความสนใจในความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาค และรักษาการเปิดกว้างทางการค้าควบคู่กับการสร้างความเท่าเทียมมากขึ้น
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจและการค้าโลก นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวในการปราศรัยเปิดการประชุม Spring Meetings 2025 เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2568 ว่า “ความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจโลก” กำลังถูกทดสอบอีกครั้งจากการปรับโครงสร้างระบบการค้าโลก
ผู้อำนวยการ IMF ระบุว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าปัจจุบันสูงขึ้น "ทะลุกรอบ" ดังที่แสดงในภาพที่ 1 ขณะที่ความผันผวนของตลาดการเงินเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นทั่วโลกลดลงเมื่อความตึงเครียดทางการค้าปะทุขึ้น แม้มูลค่าตลาดหลายแห่งยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเห็นได้จากภาพที่ 2 ที่แสดงผลกระทบต่อตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ
ภาพที่ 1 ความไม่แน่นอนทางการค้าเพิ่มสูงขึ่้น
ภาพที่ 2 ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนอย่างหนัก
บริบทของความตึงเครียดทางการค้า
นางจอร์เจียวาอธิบายภาพรวมสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ความตึงเครียดทางการค้าปัจจุบันเป็นผลจากการสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบระหว่างประเทศและความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ โดยการบูรณาการทางเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาได้ยกระดับประชากรจำนวนมากให้ออกจากความยากจนและทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมดีขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน “ชุมชนบางแห่ง” ถูกทำลายจากการย้ายงานไปต่างประเทศ ค่าจ้างถูกกดดันจากแรงงานต้นทุนต่ำ ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเมื่อห่วงโซ่อุปทานโลกถูกขัดขวาง
มากไปกว่านั้น อุปสรรคทางการค้า ทั้งภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ได้ส่งเสริมการรับรู้เชิงลบต่อระบบ “พหุภาคี” ที่ไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมกันได้ ภาพที่ 3 แสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้าในการลดอัตราภาษีทั่วโลกชะงักลงในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงการเปิดเสรีทางการค้าที่เคยก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องได้หยุดชะงักลง และกำลังมีแนวโน้มย้อนกลับไปสู่การกีดกันทางการค้ามากขึ้น และภาพที่ 4 แสดงมาตรการอุดหนุนภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในจีน สหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา
ภาพที่ 3 แสดงให้เห็นว่าเสรีทางการค้าทั่วโลกเร่ิมหดตัวลงไปสู่การกีดกันมากขึ้น
ภาพที่ 4 ประเทศขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งเร่ิมหันไปอุดหนุนภายในประเทศมากขึ้น
นางจอร์เจียวายังชี้ให้เห็นว่า ความมั่นคงของประเทศ (National Security) กลายเป็นประเด็นสำคัญ โดยในโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ สถานที่ผลิตสินค้าอาจมีความสำคัญมากกว่าต้นทุน ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพาตนเองมากขึ้น
ผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้า
ผู้อำนวยการ IMF นำเสนอข้อสังเกตสามประการเกี่ยวกับผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้า:
1. ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าโลกสร้างต้นทุนมหาศาล เพราะในห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่ที่ซับซ้อน สินค้าหนึ่งชิ้นอาจเกี่ยวข้องกับวัตถุดิบและกระบวนการผลิตในหลายประเทศ เมื่อไม่แน่ใจว่าภาษีจะเป็นอย่างไรในอนาคต ธุรกิจจึงวางแผนยาก เกิดความลังเลในการตัดสินใจ และอาจเกิดการชะลอการลงทุน หรือเก็บเงินสำรองไว้มากเกินความจำเป็น
2. อุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกระทบการเติบโตในทันที ภาษีการนำเข้า เช่นเดียวกับภาษีทั้งหมด สร้างรายได้โดยแลกกับการลดและเปลี่ยนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และหลักฐานจากเหตุการณ์ในอดีตแสดงให้เห็นว่าอัตราภาษีที่สูงขึ้นไม่ได้ถูกจ่ายโดยประเทศคู่ค้าเพียงอย่างเดียวแต่ผู้บริโภคก็มีส่วนในการรับภาระนั้นด้วย
3. การปกป้องทางการค้า (เช่น การตั้งกำแพงภาษี) ส่งผลเสียต่อผลิตภาพในระยะยาว เพราะเมื่อธุรกิจไม่ต้องแข่งขัน พวกเขาก็ไม่มีแรงจูงใจในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สูญเสียประโยชน์จากการค้าเสรี และแทนที่ผู้ประกอบการจะสร้างนวัตกรรมหรือพัฒนาธุรกิจ พวกเขากลับหันไปพึ่งการขอยกเว้นหรือความช่วยเหลือจากรัฐบาลแทน
ภาพที่ 5 แสดงให้เห็นว่าอัตราภาษีศุลกรของสหรัฐปัจจุบันสูงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
ภาพที่ 6 แสดงให้เห็นว่า จีน อียูและสหรัฐเป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลก
ทั้งนี้ ในภาพที่ 6 แสดงให้เห็นว่าจีน อียู และสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของโลก ซึ่งการกระทำของพวกเขาส่งผลกระทบต่อประเทศที่เหลืออย่างแน่นอน
IMF จะเผยแพร่ World Economic Outlook ในสัปดาห์หน้าระหว่างการประชุม IMF-World Bank Spring Meeting ซึ่งจะรวมถึงการปรับลดการคาดการณ์การเติบโต แต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย (Recession) พร้อมกับการปรับเพิ่มการคาดการณ์เงินเฟ้อในบางประเทศ รายงานจะเตือนว่าความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อเพิ่มความเสี่ยงต่อความตึงเครียดในตลาดการเงิน ดังที่เห็นในภาพที่ 7 ซึ่งแสดงการลดค่าของดอลลาร์และการชันขึ้นของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ โดยปฏิกริยาของตลาดในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ภาพที่ 7 แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของตลาดพันธบัตรในสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา
สิ่งที่ประเทศต่างๆ ควรทำ
นางจอร์เจียวาเน้นย้ำสามลำดับความสำคัญ:
1. ทุกประเทศต้องเพิ่มความพยายามในการจัดระเบียบภายในประเทศ ภาพที่ 8 แสดงให้เห็นว่าหนี้สาธารณะปัจจุบันสูงกว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามาก ประเทศส่วนใหญ่ต้องดำเนินการทางการคลังอย่างเด็ดขาดเพื่อฟื้นฟูพื้นที่นโยบาย (Policy Space) โดยกำหนดเส้นทางการปรับตัวทีละขั้นตอน ซึ่งต้องเป็นขั้นตอนที่ เคารพกรอบการคลัง นโยบายการเงินต้องคงความคล่องตัวและน่าเชื่อถือ รวมทั้งการกำกับดูแลทางการเงินที่เข้มแข็งยังคงมีความสำคัญ
ภาพที่ 8 แสดงให้เห็นภาพรวมหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และพัฒนาแล้ว
2. ประเทศต่างๆ ควรฟื้นฟูความสนใจในความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาคทั้งภายในและภายนอก ภาพที่ 9 แสดงว่าสหรัฐอเมริกามีการเติบโตของผลิตภาพที่แข็งแกร่งในขณะที่ประเทศอื่นๆ ล้าหลัง ส่วนภาพที่ 10 แสดงความไม่สมดุลระหว่างการออมและการลงทุนในประเทศขนาดใหญ่ และภาพที่ 11 แสดงยอดบัญชีเดินสะพัดที่แตกต่างกันอย่างมาก ประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมักไม่มีความกระตือรือร้นในการปรับตัว ในขณะที่ประเทศที่มีสกุลเงินสำรอง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มีความสามารถพิเศษในการรักษาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่การเกินดุลและขาดดุลที่ต่อเนื่องเป็นเวลานานสร้างความเปราะบางให้ระบบเศรษฐกิจโลก และอาจเป็นสาเหตุของความตึงเครียดทางการค้า
ภาพที่ 9 แสดงให้เห็นการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐสวนทางกับอีกหลายประเทศ
ภาพที่ 10 แสดงให้เห็นความไม่สมดุลของการลงทุนของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่และการออม
ภาพที่ 11 แสดงให้เห็นยอดบัญชีเดินสะพัดที่แตกต่างกันของหลายประเทศ
3. ทุกประเทศต้องร่วมกันรักษาการเปิดกว้างทางการค้า แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความเท่าเทียมมากขึ้นผ่านการลดทั้งอัตราภาษี (Tariff Barriers) และอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers) เช่น การอุดหนุนภายในประเทศที่บิดเบือนการค้า
IMF มองเศรษฐกิจรายภูมิภาคและจีน
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจรายประเทศและภูมิภาค นางจอร์เจียวา เริ่มต้นอธิบายที่เศรษฐกิจจีนว่า สำหรับปักกิ่ง IMF แนะนำรัฐบาลออกนโยบายเพื่อกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนที่อยู่ในระดับต่ำเรื้อรัง รวมถึงการลดนโยบายการอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมในประเทศ การปรับปรุงตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Safty Net) และการสนับสนุนทางการคลังเพื่อแก้ไขจุดอ่อนในภาคอสังหาริมทรัพย์
ภาพที่ 12 แสดงให้เห็นว่าจีนมีสัดส่วนการผลิตมากที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก
ในภาพที่ 12 จีน (เส้นสีแดง) มีสัดส่วนการผลิตในมูลค่าเพิ่มโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2005 จนถึงประมาณปี 2023 โดยสูงถึงประมาณ 28-30% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา (เส้นสีเทา) และสหภาพยุโรป (เส้นสีน้ำเงิน) มีสัดส่วนการผลิตในมูลค่าเพิ่มโลกที่ลดลงตลอดช่วงเวลาเดียวกัน และอยู่ที่ประมาณ 15-18%
ดังนั้น IMF แนะนำว่าจีนควรยอมรับ "การเปลี่ยนผ่านตามธรรมชาติ" ที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว นั่นคือการเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคการผลิตไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการมากขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบปกติของการพัฒนาเศรษฐกิจ
เมื่อประเทศพัฒนาขึ้น ประชากรมักจะมีรายได้สูงขึ้นและต้องการบริการมากขึ้น (เช่น การศึกษา สุขภาพ ความบันเทิง การท่องเที่ยว บริการทางการเงิน) มากกว่าสินค้าที่จับต้องได้ นี่เป็นเส้นทางการพัฒนาตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่ง IMF เชื่อว่าจีนควรติดตามแนวทางนี้แทนที่จะพยายามรักษาสัดส่วนการผลิตที่สูงเกินไปผ่านนโยบายอุตสาหกรรมและการแทรกแซงของรัฐ
สำหรับอียู การขยายตัวทางการคลังอย่าง “อาจหาญ” ของเยอรมนีจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ รวมทั้งจะเป็นผลดีหากอียูลดข้อจำกัดในการค้าบริการระหว่างประเทศสมาชิก และควรสร้างสหภาพธนาคาร (Banking Union) และสหภาพตลาดทุน (Capital Market Union) เพื่อเพิ่มการบูรณาการทางการเงิน
ขอบคุณภาพจากรอยเตอร์สคอนเน็ก
สำหรับสหรัฐอเมริกา ความท้าทายสำคัญคือการลดระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นมาก การทำเช่นนี้จะต้องมีการลดการขาดดุลงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปการใช้จ่ายของรัฐบาล การลดหนี้รัฐบาลจะช่วยทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและช่วยลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐฯ
นางจอร์เจียวาสรุปว่า ในความท้าทายมีโอกาส และการประชุม Spring Meetings จะเป็นเวทีสำคัญสำหรับการเจรจาในช่วงเวลาสำคัญนี้ ความลับของการฉวยโอกาสคือการมุ่งเน้นพลังงานทั้งหมดไม่ใช่ในการรักษาสิ่งเก่า แต่เป็นการสร้างสิ่งใหม่ และเมื่อนั้นเศรษฐกิจโลกจะมีความสมดุลและยืดหยุ่นมากขึ้น