'กฎคุมเข้มชายแดนสหรัฐ' ส่อฉุดท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ 9 พันล้านดอลล์

'กฎคุมเข้มชายแดนสหรัฐ' ส่อฉุดท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ 9 พันล้านดอลล์

มาตรการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่เข้มงวด กลายเป็นมาตรการสร้างปัญหาต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับสู่อำนาจ นักวิเคราะห์มองว่าอาจทำให้นักท่องเที่ยวเยือนสหรัฐน้อยลง และอาจสูญเสียรายได้ 9,000 ล้านดอลลาร์

หลายวันหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่สอง หญิงชาวเยอรมนีคนหนึ่งที่เดินทางเข้าอเมริกาผ่านเม็กซิโกก็ถูกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐ (ไอซีอี) กักตัวไว้มากกว่า 1 เดือน สองสามสัปดาห์ต่อมา นักแสดงหญิงชาวแคนาดาถูกกักตัวในศูนย์คุมขังชายแดนใต้นาน 12 วัน หลังมีปัญหาวีซ่าทำงาน ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่กำลังไปร่วมงานประชุมดาราศาสตร์ก็ถูกจับกุมที่สนามบินในฮูสตัน 1 วัน และถูกส่งกลับ

นักการทูตต่างประเทศมองว่า ความขัดแย้งในชายแดนไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเอกสาร แต่ความรุนแรงและระยะเวลาคุมขังผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐในช่วงที่ทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาวเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

การตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยว ผู้เข้าร่วมงานประชุม และผู้เดินทางเพื่อทำธุรกิจ รวมถึงผู้ที่มาจากประเทศพันธมิตรของสหรัฐตกเป็นเป้าหมาย และการที่สื่อทั่วโลกเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับความไม่เป็นมิตรตามชายแดน อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนสหรัฐน้อยลง

ตามรายงานของโอเอจี เอวิเอชัน เวิลด์ไวด์ ระบุว่า ยอดจองเที่ยวบินจากแคนาดาไปสหรัฐในเดือนก.ย. 2025 ลดลง 70% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2024 ซึ่งยอดจองที่ลดลงอาจสะท้อนถึงการคว่ำบาตรของชาวแคนาดาต่อสหรัฐ ในช่วงที่มีภัยคุกคามจากภาษีทรัมป์ และมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากคำกล่าวของประธานาธิบดีสหรัฐที่ต้องการให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51

สหรัฐเสี่ยงสูญรายได้ท่องเที่ยว

เซบาสเตียน บาซิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) กลุ่มธุรกิจโรงแรมแอคคอร์เอสเอ สัญชาติฝรั่งเศส เผยว่า ยอดจองโรงแรมในสหรัฐของชาวยุโรป ลดลง 25% ในฤดูร้อน ซึ่งคาดว่าได้รับผลกระทบจากรายงานการคุมขังนักเดินทางตามชายแดน

อดัม แซ็กส์ ประธานทัวร์ริซึม อีโคโนมิกส์ เคยคาดการณ์ว่า การเยือนสหรัฐของนักท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติในปีนี้ หลังย่ำแย่ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ตอนนี้เขากลับมองว่า สถานการณ์อาจไม่กลับมาเป็นปกติจนถึงปี 2029 และเสี่ยงส่งผลกระทบต่องานเวิลด์คัพ 2026 ที่สหรัฐร่วมจัดกับเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงงานลอสแอนเจลิส โอลิมปิก 2028

นั่นหมายความว่าการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวอาจใช้เวลานานเกือบทศวรรษ โดยนับตั้งแต่ก่อนเกิดโควิดจนถึงช่วงฟื้นตัวเต็มที่

แซ็กส์เตือนอีกว่า การจับกุมที่ชายแดนบวกกับสงครามการค้า และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัสเซีย อาจจูงใจให้ชาวยุโรปและชาวแคนาดาเดินทางไปที่อื่นแทน

นอกจากนี้ แซ็กส์คาดการณ์ด้วยว่า นักท่องเที่ยวอาจเดินทางเยือนสหรัฐน้อยลงในปีนี้ โดยชาวแคนาดาอาจเข้าสหรัฐน้อยลง 20% และโดยรวมนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ อาจลดลง 9.4% เมื่อเทียบกับปี 2024 ซึ่งอาจทำให้สหรัฐสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวราว 9 พันล้านดอลลาร์

“ที่ย้อนแย้งอีกอย่างคือ ภาษีออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ไขการขาดดุลของสหรัฐ แต่ผลกระทบจากการท่องเที่ยวก็ส่งผลกระทบต่อดุลการค้าสหรัฐโดยตรงด้วย” ประธานทัวร์ริซึม อีโคโนมิกส์ ย้ำ

ตามข้อมูลของสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ระบุว่า ในปี 2019 นักท่องเที่ยวใช้จ่ายในสหรัฐมากกว่าที่ชาวอเมริกันใช้จ่ายในต่างประเทศ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้น การท่องเที่ยวจึงมีส่วนสนับสนุนดุลการค้าในเชิงบวก

ด้านสมาคมการท่องเที่ยวสหรัฐกล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยในปี 2022 อุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสหรัฐ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ และสนับสนุนการจ้างงานราว 9.5 ล้านตำแหน่ง

เจค็อบ ซาโปชนิก ทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานประจำซานดิเอโก กล่าวว่า นักเดินทางที่อาจถูกกักตัวตามชายแดนมากที่สุด คือคนที่มีประวัติอยู่ในระบบของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ (ซีบีพี) ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม ซึ่งโดยปกติเจ้าหน้าที่จะบันทึกข้อมูลไว้ระหว่างการเยือนสหรัฐครั้งก่อนหน้า

ซาโปชนิกบอกว่า "ในอดีตผู้คนเหล่านั้นแค่ถูกปฏิเสธและส่งตัวกลับ แต่ตอนนี้เจ้าหน้าที่จะบอกว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง คุณจะถูกส่งกลับ แม้ไม่ได้เอ่ยเป็นวาจา แต่รู้ไว้เลยว่าจากนั้นคุณจะถูกกักตัวหรือถูกเนรเทศ"

‘นักท่องเที่ยว-คนทำงาน’ รับกรรม

เจสสิกา บรอสเช ช่างสักหญิงจากเบอร์ลินคนหนึ่งถูกสหรัฐควบคุมตัวหลายสัปดาห์ในระหว่างที่เธอจะไปเยี่ยมชมงานศิลปะในลอสแอนเจลิส ซึ่งเจ้าหน้าที่ชายแดนให้เหตุผลว่าเธอทำงานนอกระบบในระหว่างเยือนสหรัฐครั้งก่อน ส่วนนักวิทยาศาตร์ชาวฝรั่งเศสที่ถูกกักตัว 1 วันในฮุสตัน มีข้อมูลอ่อนไหวในโทรศัพท์เกี่ยวกับห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอสอาลามอส ที่ใช้ผลิตระเบิดปรมาณูลูกแรกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล

ขณะที่กรณีของจัสมิน มูนีย์ นักแสดงชาวแคนาดาที่ถูกกักตัวในด่านข้ามแดนในโอเทย์เมซา รัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงให้เห็นว่าการผิดกฎระเบียบราชการเล็กน้อยสามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

มูนีย์ได้ยื่นวีซ่าทำงานในเดือนมี.ค. 2024 เพื่อไปทำงานกับแบรนด์เครื่องดื่มอเมริกันแบรนด์หนึ่งในสหรัฐ แต่วีซ่าของเธอมีปัญหา เนื่องจากเอกสารบางรายการขาดหัวจดหมายเกี่ยวกับบริษัทที่จ้างเธอ แต่เธอได้แก้ไขปัญหานั้นแล้ว ต่อมาในเดือนพ.ย. เจ้าหน้าที่ปฏิเสธไม่ให้เธอเข้าสหรัฐด้วยเหตุผลอื่นอีก เธอเผยว่า เธอไม่รู้เลยว่าทันทีที่มีปัญหาเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นจะยังคงบันทึกไว้ และปัญหาเหล่านั้นจะส่งผลกระทบมากขึ้น

ในเดือนมี.ค. 2025 ทนายความแนะนำให้เธอยื่นวีซ่าที่โอเทย์เมซาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าเธอไม่สามารถยื่นวีซ่าทำงานได้อีกต่อไป เธอถูกปฏิเสธและต้องจองตั๋วกลับแวนคูเวอร์

มูนีย์เล่าว่าเธอถูกพาตัวไปที่ห้องหนึ่ง ถูกตรวจค้นและใส่กุญแจมือ ถูกยึดสิ่งของส่วนตัว และไม่ให้รับสายโทรศัพท์ จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเธอไปอีกห้องหนึ่งที่เย็นยะเยือก นักแสดงสาววัย 35 ปีบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนถูกลักพาตัว ด้านทนายความจำนวนมากที่ติดต่อหาเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยพบเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

หลังจากถูกกักตัว 3 วัน เธอก็ถูกส่งตัวไปที่ "คุกของจริง" นั่นคือศูนย์คุมขังโอเทย์เมซา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด่านข้ามแดนที่ใช้ชื่อเดียวกัน และท้ายที่สุดเธอถูกส่งตัวไปศูนย์คุมขังไอซีอีในแอริโซนา

นักแสดงสาวชาวแคนาดาใช้เวลาในตะรางเกือบ 2 สัปดาห์ และตั้งแต่นั้นมาเธอก็เคลือบแคลงใจต่อบริษัทเอกชนที่บริหารศูนย์คุมขังทั้งของไอซีอีและซีบีพี โดยเธอบอกว่าทั้ง GEO Group Inc. และ CoreCivic Inc. ได้รับเงินทุนจากรัฐบาลกลาง ซึ่งคำนวณจากค่าเบี้ยเลี้ยงรายวันโดยเฉลี่ยของผู้ที่ถูกคุมขังแต่ละคน ทำให้บริษัทไม่มีแรงจูงใจที่จะปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังโดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม สองบริษัทได้ออกมาคัดค้านคำกล่าวอ้างดังกล่าว โดยบอกว่า ทางการสหรัฐเป็นฝ่ายตัดสินใจเกี่ยวกับวันเวลาและสถานที่ในการกักตัวผู้คนที่ชายแดนไม่ใช่บริษัทเอกชน

ไรอัน กัสติน ตัวแทนจาก CoreCivic บริษัทที่บริหารศูนย์คุมขังโอเทย์เมซา กล่าว “CoreCivic ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ไม่จับกุมบุคคลที่อาจละเมิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง หรือมีส่วนร่วมในกระบวนการเนรเทศ ปล่อยตัว หรือย้ายบุคคลระหว่างสถานคุมขัง” ด้านคริสโตเฟอร์ เฟอร์เรรา ตัวแทนจาก GEO กล่าวในทำนองเดียวกัน “การตัดสินใจดังกล่าวเป็นหน้าที่ของรัฐบาลกลางแต่เพียงผู้เดียว”

นอกจากนี้ ผู้บริหารของสองบริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อนโยบายชายแดนใหม่ของทรัมป์ โดยผู้บริหารของ GEO เผยกับนักลงทุนในการประกาศผลประกอบการเมื่อเดือนก.พ.ว่า บริษัทคาดว่าระดับกิจกรรมปฏิบัติการอาจเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

คำถามคือ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้นกับอาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ชายแดน จะเป็นประโยชน์ต่ออเมริกาโดยรวมหรือไม่ ซาโปชนิก ทนายความในซานดิเอโกบอกว่า คนอื่นๆ ได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย ยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์

 

อ้างอิง: Bloomberg