‘สหรัฐ’ ปลด ‘ผบ.ฐานทัพอวกาศ’ ในกรีนแลนด์ กำจัดบ่อนทำลายแผนการทรัมป์

กองทัพสหรัฐสั่งปลดผู้บัญชาการฐานทัพอวกาศในกรีนแลนด์ อ้างกำจัดการกระทำที่บ่อนทำลายแผนของประธานาธิบดีทรัมป์
กองทัพสหรัฐ สั่งปลดผู้บัญชาการฐานทัพอวกาศสหรัฐในกรีนแลนด์ หลังจากรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ เดินทางไปเยือน และระบุว่า หน่วยงานจะไม่ยอมให้มีการกระทำที่บ่อนทำลายแผนงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ไม่ได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงว่า "โคโลเนล ซูซาน ไมเยอร์ส" ทำอะไร แต่การสั่งปลดเธอซึ่งมีรายงานออกมาเมื่อวันพฤหัสบดี (10 เม.ย.) นั้น มีขึ้นหลังจากเธอเขียนอีเมลตั้งคำถามถึงคำกล่าวอ้างของแวนซ์ ระหว่างที่เยือนกรีนแลนด์เมื่อเดือนมี.ค.
ในระหว่างเยือนกรีนแลนด์เมื่อเดือนก่อน แวนซ์ได้กล่าวโทษเดนมาร์ก ว่าไม่สามารถปกป้องกรีนแลนด์จาก “การรุกรานอย่างแข็งกร้าวของรัสเซีย จีน และชาติอื่นๆ” แต่ไม่ได้เผยรายละเอียดการรุกรานที่กล่าวอ้าง
เว็บไซต์ข่าว military.com เผย ไมเยอร์สระบุในอีเมลว่า
“ฉันไม่ถือสาหาความการเมืองในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ฉันรู้คือ ความกังวลของรัฐบาลสหรัฐตามที่รองประธานาธิบดีแวนซ์หารือเมื่อวันศุกร์ (28 มี.ค.) นั้น ไม่ได้สะท้อนเกี่ยวกับฐานทัพอวกาศพิทุฟฟิก”
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์ไม่สามารถติดต่อไมเยอร์สเพื่อขอความเห็นได้
ด้านเพนตากอนระบุว่า ไล่ไมเยอร์สออกเนื่องจากสูญเสียความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ
ฌอน พาร์เนลล์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ว่า “กระทรวงกลาโหมจะไม่ยอมให้มีการกระทำที่บั่นทอนสายการบังคับบัญชา หรือล้มล้างแผนของประธานาธิบดีทรัมป์"
ที่ผ่านมาทรัมป์กล่าวบ่อยครั้งว่าสหรัฐมีความจำเป็นด้านความปลอดภัยต้องยึดครองเกาะแห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเดนมาร์กมาตั้งแต่ปี 1721
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ไล่เจ้าหน้าที่ออกหลายคนแล้ว ตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนม.ค. ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม พลเรือเอกระดับสูงของกองทัพเรือ และทนายความระดับสูงของกองทัพด้วย
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ยืนยันการปลดพลเรือเอก โชชานา แชทฟิลด์ ซึ่งดำรงตำแหน่งอาวุโสในนาโต โดยการปลดแชทฟิลด์ครั้งนี้มีรายงานครั้งแรกจากสำนักข่าวรอยเตอร์
สำหรับกลาโหม เจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบควรมีความจงรักภักดีต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
อ้างอิง: Reuters







