ทำเนียบขาวถูกเขย่าอีกรอบ อัตราผลตอบแทนบอนด์ 10 ปี กลับมาพุ่ง 4.5%

ทำเนียบขาวถูกเขย่าอีกรอบ อัตราผลตอบแทนบอนด์ 10 ปี กลับมาพุ่ง 4.5%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งสูงถึง 4.5% หลังจากพุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ จนทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและทำเนียบขาวกังวล ส่งผลให้ทรัมป์ต้องชะลอขึ้นภาษี

ซีเอ็นบีซี/บลูมเบิร์ก รายงานว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งสูงขึ้นในวันศุกร์ (11เม.ย.) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาไทย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Treasury yield)ในรอบสัปดาห์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเคลื่อนไหวทางการค้าที่น่าเวียนหัวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ผู้ลงทุนเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ เพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยระดับโลกอื่นๆ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานพุ่งขึ้น 9 เบซิสพอยท์เป็น 4.486% ซึ่งก่อนหน้านี้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีพุ่งขึ้น 12 เบซิสพอยท์ในวันศุกร์ที่ระดับ 3.97%

1 เบซิสพอยท์เท่ากับ 0.01% และอัตราผลตอบแทนเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาพันธบัตร

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีในสัปดาห์นี้พุ่งขึ้นมากกว่า 50 เบซิสพอยท์หลังจากปิดที่ระดับประมาณ 4% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการพุ่งขึ้นสูงสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

การเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อพันธบัตรรัฐบาล โดยปกติแล้ว นักลงทุนจะหันมาซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อเป็นแหล่งหลบภัยที่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่วุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าสัปดาห์นี้จะไม่ใช่เช่นนั้น เนื่องจากดูเหมือนว่าจีนและญี่ปุ่นจะขายพันธบัตรรัฐบาลท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนคาดการณ์ว่าการเคลื่อนไหวที่สูงขึ้นอาจทำให้แนวทางการค้าของทำเนียบขาวมีความยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น

เมื่อวันพุธ ทรัมป์ประกาศระงับการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศส่วนใหญ่ และลดอัตราภาษีลงเหลือ 10% ซึ่งเป็นอัตราทั่วไปสำหรับทุกประเทศ การผ่อนผันดังกล่าวไม่รวมถึงจีน ซึ่งสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเป็น 145% จีนตอบโต้สหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ โดยปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 84% เป็น 125% 

นักวิเคราะห์เชื่อตลาดพันธบัตรบีบทรัมป์ให้ปรับนโยบายภาษี

แม้ว่าเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลบางคนจะกล่าวว่าการกลับทิศทางนี้อยู่ในแผนมาโดยตลอด แต่ผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นอย่างมากอาจทำให้ทำเนียบขาวต้องปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีศุลกากร

 

“สก็อตต์ เบสเซนท์กำลังจับตาดูตลาดพันธบัตรอย่างใกล้ชิด เขาได้พูดคุยกับทำเนียบขาวและผมรู้ว่าเขากำลังจับตาดูมันอยู่” เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันศุกร์

เควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทรัมป์ กล่าวกับซีเอ็นบีซีเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “การที่ตลาดพันธบัตรบอกเราว่า ‘เฮ้ ถึงเวลาต้องเคลื่อนไหว (เปลี่ยนแนวทาง) แล้ว’ ย่อมมีส่วนช่วยบ้างในการคิดเช่นนั้น”

 

“แต่ตลาดพันธบัตรไม่ได้ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนอย่างตื่นตระหนก เพราะเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบและวางแผนมาแล้วอย่างดี และกลายเป็นว่า มันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน” แฮสเซ็ตต์กล่าวเสริม

ด้าน ซีมา ชาห์ หัวหน้านักกลยุทธ์ระดับโลกของบริษัทจัดการเงินทุน Principal Asset Management กล่าวว่าตลาดพันธบัตร “น่าจะส่งผลกระทบกระเทือนรัฐบาลทรัมป์”

“พวกเขาเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรบ่อยครั้ง และถึงกับเฉลิมฉลองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเมื่อผลตอบแทนพันธบัตรกระทรวงการคลังลดลงต่ำกว่า 4%  ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำดูเหมือนจะเป็นเสาหลักสำคัญของวาระโดยรวมของรัฐบาลทรัมป์ ดังนั้นการกลับตัวของแนวโน้มตลาด ผลตอบแทนพันธบัตรกระทรวงการคลังที่พุ่งสูงขึ้น ย่อมสร้างความกังวลอย่างมากในทำเนียบขาว” ชาห์กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการลดลงหลังทรัมป์ชะลอกำแพงภาษีไป 90 วันในวันพุธ แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในวันศุกร์สู่ระดับสูงที่เคยสร้างความกังวลให้กับทำเนียบขาว

บทบาทสำคัญของพันธบัตรรัฐบาลอายุ10 ปี

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี มีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของรัฐ และมีอิทธิพลต่อดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน และเงินกู้อื่นๆของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งต้นทุนเงินกู้ของบริษัทขนาดเล็ก สตาร์ทอัพ และบริษัทขนาดใหญ่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถือว่าเป็นสินทรัพย์มั่นคงปลอดภัยของตลาดการเงินโลก ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ปลอดภัยของสหรัฐที่ลดลงทำให้ต้นทุนการกู้ยืมในสหรัฐสูงขึ้น

  • ผลตอบแทนพันธบัตรขึ้นสูงสุดนับแต่ 9/11

ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ10ปี ในรอบสัปดาห์นี้พุ่งขึ้นสูงสุดนับเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายโจมตีตึกเวิลด์เทรดหรือที่รู้จักกันในชื่อ 9/11

ภาณุ บาเวจา หัวหน้านักกลยุทธ์กลุ่มสถาบันการเงินยูบีเอส UBS Group AG กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เรากำลังให้คำนิยามใหม่กับสินทรัพย์ปลอดภัยของโลก ถ้าคุณทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยผันผวน มันจะทำกระทบกับทุกตลาดอย่างหนัก”

 

  • เฟดถูกกดดันให้แทรกแซงตลาด

ความโกลาหลดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเรียกร้องจากวอลล์สตรีทให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เข้ามาดำเนินการ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส  กล่าวว่าเขาคาดว่าจะเกิด “ความวุ่นวาย” ขึ้นในตลาดพันธบัตรรัฐบาล

“เมื่อคุณมีตลาดที่มีความผันผวนมาก สเปรดที่กว้างมาก และสภาพคล่องต่ำในตลาดพันธบัตรรัฐบาล สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนอื่นๆ ทั้งหมด” ไดมอนกล่าวในระหว่างรายงานผลประกอบการ “นั่นคือเหตุผลที่ควรทำ ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือบรรดาธนาคาร”

นอกจากนี้ นักกลยุทธ์จากสถาบันการเงินเช่น Deutsche Bank AG, Jefferies และ Goldman Sachs Group ยังให้ข้อสังเกตเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า หากผลตอบแทนพันธบัตรขึ้นเหนือ 5% เฟดควรเข้ามาแทรกแซงตลาด แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันว่าเจ้าหน้าที่ควรทำอย่างไร

จอร์จ ซาราเวลอส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคาร Deutsche Bank AG กล่าวในบันทึกว่าธนาคารกลางควรเริ่มซื้อพันธบัตรในรูปแบบที่เรียกว่าการผ่อนคลายเชิงปริมาณ 

โทมัส ไซมอนส์จากวาณิชธนกิจ Jefferies กล่าวว่า เฟดอาจจะหันไปใช้เครื่องมือที่เคยใช้ในวิกฤตในอดีต

ในขณะที่ บิล ซู และ วิลเลียม มาร์แชลนักกลยุทธ์จากธนาคาร Goldman Sachs แนะนำให้ฉีดสภาพคล่องหรือซื้อหลักทรัพย์ทางการเงินเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด

  • ค่าเงินดอลลาร์ร่วงนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในบอนด์-ดอลลาร์

ราคาพันธบัตรรัฐบาลที่ร่วงลงนั้นมาพร้อมกับค่าเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างรุนแรง ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนต่างชาติกำลังถอนตัวจากสหรัฐฯ โดยค่าดอลลาร์อ่อนค่าลงมากสุดในรอบ 6 เดือนตามดัชนีดอลลาร์ของบลูมเบิร์ก นักลงทุนหันไปซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำจนทำให้ราคาพุ่งสูงทำสถิติใหม่ในวันศุกร์ ค่าเงินยูโร สวิสฟรังก์ แข็งค่าขึ้นมาก  ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น 1.7% ไปที่ 142.07 เยนต่อดอลลาร์ซึ่งเป็นการแข็งค่ามากที่สุดนับแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว

นักลงทุนเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เงินดอลลาร์ จากที่วิตกสงครามการค้าจีนสหรัฐจะทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ยังไม่มั่นใจกับนโยบายของทรัมป์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา