รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก.

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก.

นโยบาย ‘กำแพงภาษีสูงลิ่ว’ ของทรัมป์ที่สะเทือนทั่วโลก ไม่ได้เกิดจากความคิดทรัมป์เพียงลำพัง แต่ยังมี ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ เป็นผู้วางรากฐานนโยบายนี้ด้วย เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ และปิดล้อมเศรษฐกิจจีนให้อ่อนแอ

ในภาพ “กำแพงภาษีอันสูงลิ่ว” แบบไม่เคยเห็นมาก่อนต่อจีนและทั่วโลก จนตลาดทุนแปรปรวนอย่างหนัก รากฐานนโยบายนี้ไม่ได้มาจากทรัมป์เพียงผู้เดียว แต่คีย์แมนที่ผลักดันให้ทรัมป์เดินหน้านโยบายนี้ต่อ คือ “ปีเตอร์ นาวาร์โร” (Peter Navarro) ที่ปรึกษาอาวุโสประธานาธิบดีด้านการค้าและอุตสาหกรรมการผลิต

เมื่อสองปีก่อน ปีเตอร์ นาวาร์โร ได้เขียนบทความเชิงนโยบายความยาว 30 หน้า ในชื่อว่า “กรณีศึกษาสำหรับการค้าที่เป็นธรรม” (The Case for Fair Trade) โดยเรียกร้องให้ประธานาธิบดีคนต่อไปจากพรรครีพับลิกันมุ่งเป้าไปที่ “ประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐในระดับสูง” โดยนาวาร์โรเขียนว่า จีน อินเดีย สหภาพยุโรป เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย ต่างก็อยู่ในกลุ่มนี้ และควรถูกเก็บภาษีนำเข้าในระดับสูงเป็นพิเศษ

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก. - ปีเตอร์ นาวาร์โร (เครดิต: Reuters) -

ไม่เพียงเท่านั้น แผนยุทธศาสตร์ด้านการค้าของปีเตอร์ นาวาร์โร ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของเนื้อหาในครึ่งบทหนึ่งของ “Project 2025” คู่มือเชิงนโยบายของพรรครีพับลิกัน ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยอนุรักษนิยม Heritage Foundation

ในเนื้อหานั้น นาวาร์โรเรียกร้องให้มีการ “ย้ายฐานผลิตของบริษัทข้ามชาติสหรัฐจากต่างประเทศ ให้กลับมาผลิตภายในประเทศ” และเตือนถึงแรงต้านจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในวอลล์สตรีท และผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีในซิลิคอนแวลลีย์

นอกจากนี้ นาวาร์โรยังเขียนหนังสือที่ชื่อว่า “DEATH BY CHINA” เล่าถึงภัยคุกคามจากจีนที่คืบคลานสู่สหรัฐ โดยวิจารณ์จีนถึงการบงการค่าเงิน จนเกิดความไม่เป็นธรรมต่อประเทศอื่น ละเมิดสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงใช้รายได้การค้าในการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหาร จนขึ้นมาท้าทายอเมริกา

‘นาวาร์โร’ กับแผนทำให้จีนอ่อนแอ

ในขณะเดียวกัน ตัวทรัมป์เองก็ไม่ได้ชื่นชอบ “ระบบการค้าเสรี” โดยในวาระแรก ทรัมป์เคยประกาศในระหว่างการปราศรัยที่กรุงวอชิงตัน เมื่อปี 2016 ว่า

“เราจะไม่ยอมให้ประเทศนี้หรือประชาชนของเราจำนนต่อโลกาภิวัตน์ที่หลอกลวงอีกต่อไป” (“We will no longer surrender this country or its people to the false song of globalism”)

เมื่อทรัมป์พบกับนาวาร์โร ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างถูกคอ แนวคิดช่างสอดคล้องกับทรัมป์ในการปกป้องอเมริกาจากสินค้าจีนราคาถูก และผู้อพยพผิดกฎหมายที่ไหลบ่าเข้ามา ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงแต่งตั้งเขาให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าชุดใหม่ภายใต้ “วันปลดแอกอเมริกา” โดยประเทศคู่ค้าทั้ง 8 ที่นาวาร์โรเคยระบุไว้ใน Project 2025 ต่างก็ถูกรวมอยู่ในรายชื่อประเทศที่จะเผชิญอัตราภาษีในระดับสูง ตั้งแต่ 46% สำหรับเวียดนาม ไปจนถึง 20% สำหรับสหภาพยุโรป

ขณะเดียวกัน ประเทศอื่น ๆ ที่นาวาร์โรเคยกล่าวถึงในเนื้อหาครึ่งบทของ Project 2025 เช่น อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์ ก็ถูกกำหนดให้ต้องชำระภาษีนำเข้าระหว่าง 25% ถึง 32% เช่นกัน

ในปัจจุบัน การที่ทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีต่อทั่วโลกออกไปอีก 90 วัน ยกเว้นจีนที่ทรัมป์จัดหนักในระดับ 145% สะท้อนว่า เป้าหมายที่แท้จริงคือ “การจัดการจีนให้อ่อนแอ”

เหตุผลเพราะจีนไม่ได้เป็นแหล่งผลิตราคาถูกอย่างเดียว แต่ยังครองระบบห่วงโซ่อุปทานที่เพียบพร้อม มีช่องทางการขาย รวมถึงมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองด้วย ยกตัวอย่าง สหรัฐมีโซเชียลมีเดีย Facebook จีนก็มี Weibo สหรัฐมีแชตบอต AI จีนก็มีด้วยเช่นกัน

“บทเรียนที่ชัดเจนคือ อเมริกาถูกเอาเปรียบทางการเงินทุกวันในตลาดโลก ทั้งโดยจีนคอมมิวนิสต์ที่ฉกฉวยผลประโยชน์ และโดยองค์การค้าโลก (WTO) ที่ไม่เป็นธรรมและไม่ตอบแทนซึ่งกันและกัน” นาวาร์โรเขียนไว้ใน The Case for Fair Trade เมื่อสองปีที่แล้ว “การจัดการกับความท้าทายทั้งสองนี้ จะช่วยฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของอเมริกาอย่างมาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจและทางทหาร”

ในขณะเดียวกัน “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีการคลังของสหรัฐก็ดำเนินนโยบายตีคู่ไปกับนาวาร์โร โดยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนว่า สหรัฐจะเจรจากับประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม อินเดีย และแม้กระทั่งสหภาพยุโรป รวมทั้งประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างแนวร่วมในการ “ปิดล้อมจีนทางการค้า” เพราะจีนใช้นโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรม ให้เงินอุดหนุนภาคการส่งออก เพื่อเอาเปรียบเศรษฐกิจของประเทศอื่น ทำให้ได้เปรียบดุลการค้าในระดับสูง โดยเบสเซนต์เรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกับสหรัฐ เพื่อปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจ

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตอบโต้ภาษีสหรัฐ 145% ด้วยการขึ้นภาษีกลับ 125% พร้อมแก้เกมด้วยการเตรียมเยือน “เวียดนาม” อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 14-15 เม.ย. เยือน “มาเลเซีย” และ “กัมพูชา” ระหว่างวันที่ 15-18 เม.ย. เพื่อทลายวงล้อม และโน้มน้าวไม่ให้ประเทศเหล่านี้ออกห่างจากจีน 

เปิดตัวละครสำคัญในคณะเศรษฐกิจทรัมป์

1.‘กรีเออร์’ มือเจรจาการค้ามากประสบการณ์

นอกจากนาวาร์โรแล้ว บุคคลสำคัญไม่แพ้กัน คือ “เจมิสัน กรีเออร์” (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative: USTR) ซึ่งในเอกสาร USTR ระบุถึงอุปสรรคทางการค้าของแต่ละประเทศที่มีต่อสหรัฐ นอกเหนือจากอัตราภาษี เช่น ไทยมีการห้ามนำเข้าหมูจากสหรัฐที่มี “สารเร่งเนื้อแดง” เพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ซึ่งคล้ายกับจีน สหภาพยุโรป และรัสเซียที่แบนสารนี้เช่นกัน แต่ในสหรัฐ สารเร่งเนื้อแดงสามารถใช้ได้ทั่วไปในปศุสัตว์ หากไม่เกินระดับที่รัฐกำหนด

สำหรับกรีเออร์ เป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า และเป็นบุคคลมากประสบการณ์จากรัฐบาลทรัมป์ชุดแรก โดยเขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาตรการเก็บภาษีสินค้าจากจีน
ในครั้งนี้ ทรัมป์ระบุว่า กรีเออร์จะมีส่วนร่วมในการควบคุมปัญหาขาดดุลการค้าขนาดใหญ่ของประเทศ ปกป้องภาคการผลิต เกษตรกรรม และบริการของอเมริกา รวมถึงเปิดตลาดส่งออกในทุกภูมิภาคทั่วโลก

ที่ผ่านมา กรีเออร์เคยทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่อาวุโสของทำเนียบขาว ในการพัฒนาและผลักดันนโยบายการค้าของรัฐบาล พร้อมทั้งเคยให้คำปรึกษาแก่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และยังมีบทบาทในการเจรจาข้อตกลงการค้าระยะที่หนึ่งระหว่างสหรัฐกับจีน (US-China Phase One)

เขาเป็นบุคคลสำคัญในการผลักดันให้ USTR เจรจาและผลักดันให้รัฐสภาสหรัฐอนุมัติข้อตกลงการค้าใหม่ระหว่างสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (United States-Mexico-Canada Agreement: USMCA)

อีกทั้งเขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่กับแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งถูกจัดทำขึ้นเพื่อแทนที่ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับเดิม

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก. - เจมิสัน กรีเออร์ (เครดิต: Reuters) -

2. มิแรน ผู้วางระเบียบการเงินโลกใหม่

สตีเฟน มิแรน (Stephen Miran) นักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์ ผู้ซึ่งวางแนวคิด “ระเบียบการเงินโลกใหม่” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Mar-a-Lago Accord” 

มิแรนเสนอว่า เพื่อลดขาดดุลการค้าของอเมริกาที่มีต่อประเทศต่างๆ สกุลเงินดอลลาร์ “ควรอ่อนค่าลง” และขณะเดียวกัน มิแรนก็ต้องการให้ดอลลาร์ยังคงเป็น “สกุลเงินหลักของโลก”

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายทั้งสองดูเหมือนขัดแย้งกัน เพราะการทำให้ดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลหลักของโลก ยังคงเป็นที่ต้องการ กลับทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

ด้วยเหตุนี้ มิแรนจึงเสนอแนวคิดให้ประเทศที่ต้องการเก็บ “ดอลลาร์” เป็นทุนสำรอง และ “ไม่ต้องการโดนภาษีการค้า” ให้ถือดอลลาร์ในรูปของ “พันธบัตรรัฐบาล 100 ปี” ซึ่งไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย รวมถึงต้องการให้ประเทศต่างๆ ที่ถือพันธบัตรสหรัฐในรูปอายุต่างๆ ให้แลกเปลี่ยนเป็นพันธบัตร 100 ปีด้วย ซึ่งทำให้ไม่ต้องถือดอลลาร์โดยตรง ช่วยให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง อีกทั้งยังช่วยลดมูลค่าหนี้ของสหรัฐด้วย เพราะมูลค่าหนี้ใน 5 ปีข้างหน้า 10 ปีข้างหน้า และ 100 ปีข้างหน้าย่อมไม่เท่ากัน และจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก. - สตีเฟน มิแรน (เครดิต: Reuters) -

3. แฮสเซตต์ หัวหน้าสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ

เควิน แฮสเซตต์ (Kevin Hassett) เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งสหรัฐในช่วงรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก และต่อมาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดี โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาว

ในประเด็นภาษี แม้เขาอาจเชื่อว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อให้ประเทศอื่นยอมอ่อนข้อ แต่เขาก็เข้าใจดีว่า โดยพื้นฐานแล้ว มาตรการเหล่านี้คือภาษีที่เก็บจากชาวอเมริกันเอง และไม่ได้เป็นหนทางสู่ความมั่งคั่งแต่อย่างใด ซึ่งบางทีแฮสเซตต์อาจช่วยลดท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลต่อการใช้มาตรการภาษีลงได้บ้าง

นอกจากนี้ แฮสเซตต์ยังเป็นนักวิจัยคนสำคัญที่ศึกษาแนวทางลดรายจ่ายของภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลงบประมาณ

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก. - เควิน แฮสเซตต์ (เครดิต: Reuters) -

4. ลัทนิค รมว.พาณิชย์

ฮาวเวิร์ด ลัทนิค (Howard Lutnick) เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ในยุคทรัมป์ ก่อนหน้านั้นเคยดำรงตำแหน่งซีอีโอของบริษัท Cantor Fitzgerald ซึ่งให้บริการทางการเงิน โดยเขามีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจกว่า 800 แห่ง และมีรายได้รวมกว่า 350 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ที่น่าสนใจคือ เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในกรีนแลนด์ ผ่านความเชื่อมโยงของ Cantor Fitzgerald ที่เขาเคยเป็นซีอีโอกับบริษัทแร่ Critical Metals

ลัทนิคกล่าวถึงภาษีว่า ภาษีทรัมป์ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดโลกนั้น เป็น “มาตรการที่จำเป็น” เพื่อกระตุ้นให้บริษัทยักษ์ใหญ่ย้ายฐานผลิตกลับมายังสหรัฐ

“กองทัพมนุษย์นับล้าน ๆ คน ที่ทำหน้าที่ขันน็อตเล็ก ๆ เพื่อประกอบ iPhone งานแบบนั้นกำลังจะกลับมาที่อเมริกา” ลัทนิคกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ Face the Nation ของสถานี CBS

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก. - ฮาวเวิร์ด ลัทนิค (เครดิต: Reuters) -

5.เบสเซนต์ รมว.การคลัง

สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) เคยทำงานกับ Soros Fund Management บริษัทจัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของจอร์จ โซรอส นักลงทุนชื่อดัง โดยในช่วงที่เขาร่วมงานกับกองทุนแห่งนี้ เบสเซนต์มีบทบาทสำคัญในการสร้างผลกำไรมหาศาลให้กับบริษัท

หนึ่งในช่วงเวลาที่โดดเด่นที่สุด คือ การมีส่วนร่วมในการวางแผน “ขายชอร์ต” เงินปอนด์อังกฤษในปี 1992 ซึ่งนำไปสู่วิกฤติ “Black Wednesday” หรือ “วันพุธทมิฬ” ที่ธนาคารกลางอังกฤษจำต้องยกเลิกการตรึงค่าเงินปอนด์ไว้กับสกุลเงินหลักในกลุ่มยุโรป

แผนการครั้งนั้นทำให้โซรอสได้รับผลกำไรมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และส่งชื่อเบสเซนต์เข้าสู่นักวางกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง โดยในปัจจุบัน เบสเซนต์เป็นตัวแทนทรัมป์ในการเจรจาภาษีศุลกากรกับเหล่าคู่ค้าสหรัฐ

รู้จัก ‘ปีเตอร์ นาวาร์โร’ มือขวาภาษีทรัมป์ มุ่งปิดล้อมจีนทางศก. - สก็อตต์ เบสเซนต์ (เครดิต: Reuters) -

อ้างอิง: projecteconomicกรุงเทพธุรกิจmarketกรุงเทพธุรกิจ(2)fortunelatimes