ทำไมสงครามการค้าโลก 'พลังงานสะอาด' ยังคงเป็นอาวุธสำคัญของจีนในตลาดโลก

ทำไมสงครามการค้าโลก 'พลังงานสะอาด' ยังคงเป็นอาวุธสำคัญของจีนในตลาดโลก

ทำไมสงครามการค้าโลก "พลังงานสะอาด" ยังคงเป็นอาวุธสำคัญของจีนในตลาดโลก เขียนโดย ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเจ้าของเพจอ้ายจง

เมื่อเร็วๆ นี้ อ้ายจง มีโอกาสไปร่วมงาน Global Renewable Energy Summit ที่จัดขึ้นโดย Sungrow หนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกด้าน Inverter และเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจากจีน ที่เมืองเหอเฝย ซึ่งตอนนี้ก็มีโรงงานในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ได้เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่และโรงงาน แต่คือข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของ พลังงานสะอาด ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ตลาดนี้ยังร้อนแรง และจีนกำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างชาญฉลาด

จากรายงานของ Bloomberg New Energy Finance ระบุว่า มูลค่าการค้าพลังงานสะอาดทั่วโลกในปี 2024 พุ่งสูงทะลุ 500,000 ล้านดอลลาร์ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากสงครามการค้า แต่จีนยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน cleantech โดย 81% ของการลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนพลังงานสะอาดยังคงเกิดขึ้นในจีน

ยิ่งไปกว่านั้น จีนกำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกครั้งใหญ่ จากการพึ่งพา “สามสิ่งเก่า” อย่าง เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มาเป็น “สามสิ่งใหม่” ที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก ได้แก่ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EVs), แบตเตอรี่ลิเธียม และแบตเตอรี่พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งกลายเป็นหัวหอกของจีนในการบุกตลาดต่างประเทศ

ข้อมูลจาก China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปี 2025 จีนผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ได้ถึง 3.18 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 50.4% เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่ยอดขายอยู่ที่ 3.08 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 47.1% และคิดเป็นกว่า 41% ของยอดขายรถทั้งหมดในประเทศ

จีนไม่เพียงส่งออกผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังลงทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไทยก็กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก BOI เผยว่า ปี 2567 มีโครงการลงทุนด้าน พลังงานหมุนเวียน และพลังงานจากขยะในไทยมากถึง 515 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีจีนเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลัก

เมื่อมองในระดับนโยบาย จีน ก็ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สีเขียวอย่างจริงจัง กระทรวงการต่างประเทศจีนเพิ่งแถลงว่า ในปี 2024 พลังงานสะอาดผลิตไฟฟ้าในประเทศถึง 40% ของทั้งหมด และจีนยังสร้างงานในอุตสาหกรรมนี้ถึง 46% ของงานในตลาดโลก

จีนยังผลักดันความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย เช่น ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ผ่านโครงการ พลังงานสะอาด และ Blue Economy เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืนร่วมกัน พร้อมขยายตลาดในภูมิภาคให้รองรับอุตสาหกรรมที่จีนเชี่ยวชาญ

อีกหนึ่งคำที่กลายเป็น buzzword ในการประชุม Two Sessions ของจีนในปี 2025 คือ “new-type energy storage” หรือระบบกักเก็บพลังงานยุคใหม่ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในยุคที่ พลังงานหมุนเวียน ยังขึ้นกับเงื่อนไขธรรมชาติ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ประเทศหรือชุมชนที่มีทรัพยากรจำกัดสามารถเข้าถึงพลังงานได้อย่างมั่นคง เป็นความก้าวหน้าที่ไม่ใช่แค่ภายในประเทศจีน แต่สามารถส่งออกนวัตกรรมนี้เพื่อเปลี่ยนชีวิตผู้คนในประเทศกำลังพัฒนาได้ทั่วโลก

แม้ในปีที่ผ่านมา ตลาดโซลาร์เซลล์ ของจีนจะมีภาวะล้นตลาด รัฐบาลจีนจึงเริ่มลดการสนับสนุนเพื่อให้ตลาดปรับตัวเองตามกลไก แต่ในมุมของจีน นี่คือช่วงเวลา “สุกงอม” ของอุตสาหกรรม และเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนผ่านสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่คู่แข่งยังตามไม่ทัน

จีนวางหมากนี้มาตั้งแต่สหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์สมัยแรกที่ประกาศนำอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ในขณะที่โลกเริ่มขาดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม จีนเลือกเดินหน้าเต็มที่ ประกาศว่าทำเพื่อโลก แต่ในอีกมุมก็รู้ดีว่านี่คือทิศทางของอนาคตที่สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจได้

พลังงานสะอาด จึงไม่ใช่แค่เทคโนโลยีสีเขียว แต่กลายเป็น “อาวุธยุทธศาสตร์” ที่จีนใช้ได้อย่างแยบยล ทั้งในเวทีการค้า การเมืองระหว่างประเทศ และการลงทุน จีนไม่เพียงแค่ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกได้เร็ว แต่ยังสร้างกระแสใหม่ให้ตัวเองเป็นผู้นำเทรนด์อย่างต่อเนื่อง

น่าจับตาไม่น้อยว่า ในยุคที่ สงครามการค้า กำลังเขย่าโฉมภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ จีนจะเดินเกมอย่างไรในการใช้พลังงานสะอาดเป็นทั้งเครื่องมือเจรจาต่อรองและสะพานเชื่อมเศรษฐกิจสู่ตลาดโลกในรูปแบบที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ต้องติดตามกันต่อไป

ผู้เขียน: ภากร กัทชลี (อ้ายจง) อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่