The Great Polarization: โลก 'หลังทรัมป์' ที่อเมริกาไม่ใช่เจ้าโลกอีกต่อไป

ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ "The Great Polarization" ไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ แต่เป็นการแบ่งขั้วระหว่างประเทศที่ปรับตัวได้กับปรับตัวไม่ได้ ท่ามกลางสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ทวีความรุนแรง ชี้ประเทศที่มีหนี้ต่ำ นโยบายยืดหยุ่น และไม่ยึดติดรูปแบบเศรษฐกิจเดิมจะเป็นผู้ชนะ ขณะที่ทุกประเทศต้องเตรียมรับมือการถูกบังคับให้เลือกข้าง
ท่ามกลางความปั่นป่วนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดร. นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้วิเคราะห์ถึงระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญใน งานเสวนาโต๊ะกลม "ผ่ากำแพงภาษี "ทรัมป์" ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ : Trump's Uncertainty" โดยความรุนแรงแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน
ระดับที่ 1: มุ่งเน้นเรื่องภาษี (Tariff) เพียงอย่างเดียว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ระดับที่ 2: มีความรุนแรงมากขึ้น โดยจะขยายวงกว้างไปถึงภาคบริการและตลาดทุน ซึ่งจะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจโลก
ระดับที่ 3: เป็นระดับที่น่ากลัวที่สุด เปรียบเสมือน "สงครามโลกครั้งที่ 3" ทางด้านการค้า ที่จะนำไปสู่การแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีเป้าหมายให้สหรัฐฯ เป็นผู้ชนะและทำให้จีนอ่อนกำลังลง ซึ่งอาจทำให้ประเทศขนาดเล็กตกเป็นพื้นที่สงครามตัวแทน (Proxy War)
The Great Polarization คืออะไร?
ในมุมมองของ ดร. นณริฏ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากฉากทัศน์ทั้งสามอาจไม่ใช่ The Great Depression เหมือนในอดีตแต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า "The Great Polarization" หรือการแบ่งขั้วครั้งใหญ่ ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่ผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการค้าระดับโลกจะไม่กระจายเท่ากัน แต่จะทำให้เกิดการแบ่งขั้วที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในการแบ่งขั้วนี้ จะประกอบด้วยสองฝั่งหลัก:
- ผู้ที่ปรับตัวได้และได้รับประโยชน์:
- ประเทศที่มีหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระดับต่ำ เช่น จีนและเยอรมนี
- ประเทศที่มีความยืดหยุ่นและเครื่องมือทางนโยบายการเงิน (Policy Space)
- ประเทศที่มีศักยภาพในการส่งออกและสามารถรักษาตลาดได้
- ประเทศที่มีภาคการท่องเที่ยวแข็งแกร่ง
- ประเทศที่มีความสามารถในการปรับตัว ไม่ยึดติดกับรูปแบบเศรษฐกิจเดิม และพร้อมแสวงหาโอกาสใหม่ๆ
- ผู้ที่ปรับตัวไม่ได้และเผชิญความยากลำบาก:
- ประเทศที่ยังคงจินตนาการว่าจะสามารถส่งออกได้แบบเดิม
- ประเทศที่พยายามซุกตัวอยู่ภายใต้ประเทศอื่น
- ประเทศที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองอย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายของทรัมป์: เหมือนโควิดที่เร่งการเปลี่ยนแปลง?
หากมองในมุมนี้ นโยบายภาษีทรัมป์ อาจเปรียบเสมือนวิกฤตโควิด-19 ที่แม้จะสร้างความปั่นป่วนให้กับโลก แต่ก็เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในขณะที่ภาพรวมจะเกิดความวุ่นวาย แต่ในบางมุมก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน เช่น:
- การกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวมากขึ้น
- การเปิดโอกาสให้ประเทศที่มีความพร้อมได้แสวงหาตลาดใหม่
- การสร้างโอกาสในการเจรจาการค้ากับคู่ค้ารายใหม่ เช่น สหภาพยุโรป
ดร. นณริฏ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของโมเดลทุนนิยมปัจจุบัน เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาคนตกหล่นจากกระบวนการพัฒนา ปัญหาการขาดดุลการค้า และปัญหาหนี้สิน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มักมองข้ามไป นอกจากนี้ การขึ้นมาของจีนก็เป็นจุดชนวนสำคัญที่ท้าทายสถานะของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยี AI ที่จีนสามารถตอบโต้สหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว
โอกาสในการกลับสู่ระเบียบโลกเดิม?
อย่างไรก็ตาม ยังมีความหวังที่น่าสนใจว่า ระเบียบโลกอาจกลับไปสู่สภาวะที่มีเสถียรภาพมากขึ้นได้ ดร. นณริฏ มองว่าอาจมีโอกาสเล็กๆ ในการหลุดออกจากปัญหานี้ โดยเฉพาะจากปัจจัยภายในประเทศสหรัฐฯ เอง หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายใน 6 เดือนถึง 2 ปี ที่อาจทำให้ทรัมป์หลุดจากอำนาจได้
อ้างอิง: กรุงเทพธุรกิจ







