No Trade Is Free: สงครามการค้าฉบับทรัมป์

ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศสะเทือนโลกเศรษฐกิจและการค้าเมื่อวันที่ 3 เม.ย.2568 กำหนดให้มี “ภาษีพื้นฐาน” หรือ baseline tariff ในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. ซึ่งแม้จะเป็นมาตรการที่ครอบคลุม แต่ก็ยังถือว่าเบากว่าภาษีพิเศษที่จะบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย.นั่นคือ “ภาษีตอบโต้แบบเฉพาะประเทศ”
ซึ่งจะใช้กับ 60 ประเทศที่ทรัมป์จัดว่าเป็นประเทศผู้กระทำผิดร้ายแรงในการบั่นทอนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ไม่ว่าจะโดยการตั้งกำแพงภาษีที่สูงกว่า การใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี หรือพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมอื่น ๆ
ภายใต้มาตรการนี้ จีนจะเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงถึง 34% ขณะที่เวียดนามและกัมพูชาถูกกำหนดไว้ที่ 46% และ 49% ประเทศไทยต้องรับมือกับอัตราภาษีนำเข้าถึง 37% แม้แต่พันธมิตรอย่างสหภาพยุโรปก็ถูกกำหนดไว้ที่ 20%
แสดงให้เห็นว่ามาตรการนี้ไม่ได้แยกมิตรหรือศัตรู แต่เน้นการตอบโต้ตามระดับความเป็นธรรมที่สหรัฐได้รับบนเวทีการค้าโลก ถือเป็นการปิดฉากระบบการค้าเสรีตามแบบองค์การการค้าโลก (WTO) ที่สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาอย่างยาวนาน
มาตรการเหล่านี้เป็นการสานต่อแนวทางที่เริ่มวางรากฐานไว้ตั้งแต่สมัยทรัมป์ดำรงตำแหน่งครั้งแรกช่วงปี 2560-2564 แต่ด้วยระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้นมาก
แนวคิดเบื้องหลังนโยบายภาษีนี้สามารถศึกษาได้อย่างละเอียดในหนังสือ No Trade Is Free ของโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ อดีตผู้แทนการค้าสหรัฐในรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้วางยุทธศาสตร์การต่อกรกับจีนและประเทศอื่น ๆ ที่ถูกมองว่าเอารัดเอาเปรียบแรงงานอเมริกัน
ไลท์ไฮเซอร์ มองว่า นโยบายการค้าเสรีที่อเมริกาดำเนินมาหลายสิบปีนั้น เป็นการส่งมอบทรัพย์สินแห่งชาติไปให้กับต่างชาติแลกกับราคาสินค้าถูกลงเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ขณะที่ผลกระทบกลับถาวร เช่น การปิดโรงงาน การตกงาน และการสูญเสียศักยภาพในการผลิตสิ่งจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศ
เขาชี้ให้เห็นว่า จีนไม่ได้เป็นแค่คู่ค้า แต่เป็น “ศัตรูทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่ใช้กลยุทธ์แบบลัทธิพาณิชย์นิยมยุคใหม่ บ่อนทำลายระบบตลาดเสรีด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และการจำกัดการเข้าถึงตลาดภายในประเทศ
ในมุมมองของเขา ความเชื่อที่ว่าการรวมจีนเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลกจะทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับเสรีภาพและประชาธิปไตยนั้น เป็นความเพ้อฝันที่โลกตะวันตกต้องชำระสะสาง
การจัดเก็บภาษีนำเข้าของทรัมป์เป็นการประกาศสงครามเชิงระบบ (systemic confrontation) ไม่ใช่เพียงการปรับโครงสร้างการค้าแบบผิวเผิน
แม้ในทางทฤษฎีจะมีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเตือนว่า ภาษีคือภาระต่อผู้บริโภค เพราะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ทว่าไลท์ไฮเซอร์กลับแย้งว่า ราคาสินค้าถูกลงเล็กน้อยไม่อาจชดเชยกับการสูญเสียงาน ความมั่นคง และศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงานได้
เขายืนยันว่า นโยบายการค้าไม่ได้มีหน้าที่เพียงตอบสนองผู้บริโภค แต่ต้องปกป้องผู้ผลิตด้วย โดยเฉพาะผู้ผลิตภายในประเทศ
หนึ่งในประกาศครั้งนี้ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากที่สุดคือ การกำหนดภาษี 25% สำหรับรถยนต์ทุกคันที่ผลิตในต่างประเทศ โดยมีผลทันทีในเที่ยงคืนวันที่ 3 เม.ย.2568 ซึ่งคงไม่ใช่เพียงมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน
แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงพันธมิตรเช่นเยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ว่าการเจรจาการค้าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่สหรัฐกำหนด การพึ่งพาตลาดอเมริกาไม่อาจแลกได้ฟรีอีกต่อไป
ท่าทีเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการเมืองแบบลัทธิชาตินิยม (economic nationalism) แต่ในสายตาของไลท์ไฮเซอร์ นี่คือการฟื้นฟูหลักการที่ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ในอดีต
เขาเชื่อว่าสหรัฐเติบโตจากการเป็นประเทศที่ใช้ภาษีปกป้องอุตสาหกรรมของตนเองก่อนจะหันเหไปสู่การค้าเสรีโดยไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปดูตัวเลขจะพบว่า สหรัฐมีดุลการค้าเป็นลบติดต่อกันนานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะกับจีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป
ไลท์ไฮเซอร์ กล่าวถึงแนวคิด “No Trade Is Free” หมายถึง “ไม่มีการค้าใดที่ปราศจากต้นทุน”
หากประเทศหนึ่งเลือกเปิดตลาดเสรีโดยไม่ปกป้องแรงงานของตน ย่อมต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงกว่าในระยะยาว นั่นคือการสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจ และการลดบทบาทของรัฐในการกำหนดชะตากรรมของประชาชน
แม้นโยบายภาษีนำเข้าจะกระตุ้นให้เกิดแรงเสียดทานทั้งภายในและระหว่างประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนคำถามที่สหรัฐต้องเผชิญอย่างจริงจังว่า
“อะไรคือเศรษฐกิจเพื่อประชาชน?” และ “จะยอมให้แรงงานคนอเมริกันต้องเสียสละเพื่อให้บริษัทยักษ์ใหญ่แสวงหากำไรจากแรงงานราคาถูกในต่างแดนต่อไปหรือไม่?”
บทบาทของเครื่องมือภาษีนำเข้าในนโยบายของทรัมป์จึงเป็นการวาดเส้นแบ่งว่า “เส้นไหนคือเส้นผลประโยชน์ของชาติ” ซึ่งเป็นการท้าทายแนวคิดโลกาภิวัตน์ที่บอกว่าทุกประเทศควรแข่งขันเสรีในสนามเดียวกัน
การกลับมาใช้เครื่องมือภาษีนำเข้าในปีนี้ เป็นการกดปุ่มรีเซ็ตระบบโลกาภิวัตน์ในแบบอเมริกันใหม่
ระเบียบการค้าโลกที่สร้างขึ้นภายใต้ WTO กำลังถูกแทนที่ด้วยแนวคิดแบบทรัมป์และไลท์ไฮเซอร์ เปิดฉากเกมการค้ายุคใหม่ที่จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากการเจรจาต่อรองหลายระดับ ผสมกับเกมล็อบบี้เพื่อยื่นหมูยื่นแมวในผลประโยชน์ของชาติ และน่าจะเกิดการสับไพ่เพื่อย้ายฐานการผลิตใหม่ครั้งสำคัญของโลก.







