'ภาษีทรัมป์' กดดันเฟด จนมุมรับมือเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัว

"ทรัมป์" ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรรุนแรงเกินคาด กำหนดภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด สูงถึง 50% สำหรับจีน ส่งผลให้เฟดตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เผชิญความท้าทายในการควบคุมเงินเฟ้อที่อาจพุ่งถึง 3-4% ขณะที่ต้องประคับประคองเศรษฐกิจชะลอตัว เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (3 เม.ย.) ว่า การขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ประเทศคู่ค้าอย่างรุนแรงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาในสหรัฐจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่คณะทำงานของเฟดเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมเงินเฟ้อและหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ขาลงของเศรษฐกิจซึ่งทำให้คณะทำงานของเฟดต้องอยู่ในโหมดรอดูความชัดเจน
ไดแอน สวองค์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ KPMG ให้สัมภาษณ์ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นคือฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดของเรา" ซึ่งเขากล่าวเสริมว่า มีความเป็นไปได้ที่การขึ้นภาษีศุลกากรครั้งนี้จะนำไปสู่การเข้าสู่ขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐ
อย่างไรก็ดี สวองค์และนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ กล่าวว่า คณะทำงานของเฟดมีแนวโน้มที่จะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในขณะที่พวกเขาประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีศุลกากรต่อเงินเฟ้อ
การเก็บภาษีซึ่งรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์หลายท่านคาดการณ์ไว้จะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าหลายล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละปีสูงขึ้นหากยังคงใช้มาตรการนี้ต่อไป สงครามการค้าเต็มรูปแบบที่มีการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน จุดชนวนเงินเฟ้อขึ้นใหม่ และทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังแย่ลงอยู่แล้วเลวร้ายลงไปอีก
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันพุธว่า สหรัฐฯ จะเก็บภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดมายังสหรัฐฯ แต่ภาษีสำหรับหลายประเทศจะสูงเกินกว่านั้นมาก อัตราภาษีที่มีผลสะสมของจีนคาดว่าจะเกิน 50% สหภาพยุโรปจะมีภาษี20% และเวียดนามจะเผชิญกับภาษี 46%
ด้าน บลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์ ประมาณการว่า การเก็บภาษีใหม่อาจส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรที่มีผลเฉลี่ยในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 22%จาก 2.3% ในปี 2024 โอไมร์ ชาริฟ ประธานของ Inflation Insights LLC คำนวณระดับอ้างอิงไว้ที่ 25% ถึง 30%
หลังจากการประกาศ นักลงทุนเพิ่มการเดิมพันสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดอย่างน้อยสามครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับคณะทำงานของเฟดที่ยังคงพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ ผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากการกระทำของประธานาธิบดีทรัมป์อาจจำกัดความสามารถของผู้กำหนดนโยบายในการเข้าแทรกแซงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจ
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดมีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมวันศุกร์ที่อาร์ลิงตัน เวอร์จิเนีย
"มันทำให้เฟดตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก" เจย์ ไบรสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค กล่าว พร้อมอธิบายเสริมว่า "ในแง่หนึ่ง หากการเติบโตชะลอตัวและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น พวกเขาต้องการจะผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น พวกเขาต้องการลดอัตราดอกเบี้ย ในอีกแง่หนึ่ง หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากตรงนี้ พวกเขาต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นมันจึงทำให้พวกเขาตกอยู่ในจุดที่ยากลำบากจริงๆ"
โจเซฟ บรูซูเอลัส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ RSM US LLP เห็นด้วยว่าระบบใหม่นี้เข้มงวดกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ไว้มาก และจะเพิ่มความเป็นไปได้ของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ
"ผมคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 3% ถึง 4% ภายในสิ้นปีนี้" เขากล่าว และเสริมว่าเฟดไม่น่าจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นถึงระยะกลาง "การกระทำของทำเนียบขาวในวันนี้ทำให้เฟดอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากแรงกดดันทั้งสองด้านของอาณัติของพวกเขา"
เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้กำหนดนโยบายเน้นย้ำว่าตลาดแรงงานยังแข็งแรงและเศรษฐกิจโดยรวมยังมั่นคง แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายการค้าของทรัมป์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ก่อให้เกิดความกลัวว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นและทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจแม้ก่อนการประกาศในวันพุธ
ผลสำรวจที่ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนแสดงให้เห็นว่า แนวโน้มเงินเฟ้อของผู้บริโภคในช่วง 5 ถึง 10 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นในเดือนมีนาคมสู่ระดับสูงสุดในกว่าสามทศวรรษ แนวโน้มด้านการเงินส่วนบุคคลลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ผู้นำธุรกิจหลายคนอยู่ในโหมดรอดูท่าที โดยชะลอแผนการลงทุนจนกว่าจะมีความชัดเจนในแนวโน้มนโยบายภาษีศุลกากรและกฎหมายภาษี นักพยากรณ์ยังได้ปรับลดแนวโน้มการเติบโตสำหรับปีนี้ ตามการสำรวจล่าสุดของนักเศรษฐศาสตร์โดยบลูมเบิร์ก
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า การเพิ่มความตึงเครียดด้านภาษีศุลกากรอย่างมีนัยสำคัญด้วยการตอบโต้กันไปมากับประเทศคู่ค้าหลักอาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และทั่วโลกชะลอตัวลง
"หากคุณเข้าสู่สถานการณ์ที่มีการตอบโต้รุนแรงขึ้น คุณกำลังพูดถึงเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีประสิทธิภาพน้อยลงอย่างพื้นฐาน" เซธ คาร์เพนเตอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์โลกของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวเมื่อเช้าวันพุธทางบลูมเบิร์ก ทีวี ก่อนการประกาศภาษีศุลกากร "มันไม่ใช่เกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์ มันอาจเป็นการสูญเสียสุทธิสำหรับระเบียบโลกทั้งหมด"
อ้างอิง: Bloomberg







