'จีน' อ่วมเจอภาษีสหรัฐ 2 ล็อตเป็น 54% สั่งเบรกลงทุนในสหรัฐตอบโต้

'จีน' เจอภาษีสหรัฐสองล็อตเป็น 54% สูงสุดแซงหน้าทุกประเทศ ใกล้กับที่ทรัมป์เคยหาเสียง จับตาปฏิกิริยาจีนวันนี้ มีรายงานปักกิ่ง 'สั่งเบรก' การลงทุนของจีนในสหรัฐแล้ว
การประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีสหรัฐ "โดนัลด์ ทรัมป์" เมื่อเช้านี้มีรายชื่อของ "จีน" มาในลำดับ 1 ที่อัตรา 34% ซึ่งเมื่อรวมกับภาษีที่เก็บไปแล้วก่อนหน้านี้ 20% ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดพุ่งเป็นอย่างน้อย 54% ซึ่งนับเป็นการเก็บภาษีของสหรัฐ "ครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมากับจีน" และอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการส่งออกจีนไปตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากนี้
บลูมเบิร์กระบุว่า การขึ้นภาษีรอบใหม่ 34% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน บวกกับภาษีนำเข้าเดิม 20% ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้ จะส่งผลกระทบต่อสินค้า "เกือบทั้งหมด" จากสินค้าที่จีนส่งออกไปสหรัฐมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2024
“พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ หากการขึ้นภาษี 20% ก่อนหน้านี้ของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนแล้ว การประกาศในวันนี้ก็เหมือนการยิงบาซูก้าถล่มลูกใหญ่” เจนนิเฟอร์ เวลช์ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านภูมิเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg Economics กล่าว
การขึ้นภาษีจีนรวมเป็น 54% ในครั้งนี้ ยังทำให้ภาษีศุลกากรล่าสุดที่สหรัฐเรียกเก็บกับจีนใกล้เคียงกับอัตรา 60% ที่ทรัมป์เคยประกาศเอาไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกด้วย
บริษัทแมคควอรี กรุ๊ป เคยประเมินเมื่อปีที่แล้วว่า GDP จีน อาจลดลงมากถึง 2% หากอัตราภาษีศุลกากรอยู่ที่ 60% ขณะที่การจำลองสถานการณ์โดยบลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์แสดงให้เห็นว่า การค้าระหว่างเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของโลก "จะลดลงจนแทบไม่เหลืออะไรเลย" หากอัตราภาษีศุลกากรสูงขนาดนี้
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีน ยังไม่ได้ตอบกลับการขอความเห็นในเรื่องนี้
'จีน' สั่งเบรกการลงทุนในสหรัฐ
บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ว่า จีนกำลังเตรียมดำเนินมาตรการตอบโต้ด้วยการ “จำกัดไม่ให้บริษัทจีนเข้าไปลงทุนในสหรัฐ” ซึ่งอาจทำให้ปักกิ่งมีอำนาจต่อรองมากขึ้นในการเจรจาการค้าที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาลทรัมป์
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า หน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจชั้นนำของจีนหลายแห่ง เช่น คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ได้รับคำสั่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาให้ชะลอการลงทะเบียนและการอนุมัติบริษัทที่ต้องการลงทุนในสหรัฐออกไปก่อน
แม้ว่าก่อนหน้านี้ จีนได้กำหนดข้อจำกัดการลงทุนในต่างประเทศบางส่วนด้วยเหตุผลความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและการไหลออกของเงินทุน แต่มาตรการใหม่นี้เน้นย้ำถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่การลงทุนต่างประเทศของจีนในสหรัฐมีมูลค่ารวม 6.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2566
อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวระบุว่า "ยังไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งชี้ว่า การลงทุนของบริษัทจีนในสหรัฐที่ได้ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงการซื้อและถือครองผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะได้รับผลกระทบ" และยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นแรงผลักดันให้ NDRC หยุดดำเนินการพิจารณาใบสมัคร หรือการระงับนี้จะกินเวลานานเพียงใด
ทั้งนี้ ปักกิ่งตอบโต้ภาษีศุลกากร 20% ก่อนหน้านี้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเช่นกัน นอกจากนี้ จีนยังได้จำกัดการส่งออกแร่ธาตุที่สำคัญและตั้งเป้าไปที่บริษัทสหรัฐเพิ่มเติมเพื่อทำการสอบสวน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ปักกิ่งอาจดำเนินการเพื่อตอบโต้การเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์







