ไทยเสี่ยงสูงโดนภาษีทรัมป์ ยังประเมินความเสียหายไม่ได้

ทั่วโลกจับตาการประกาศภาษีตอบโต้ “ทุกประเทศ” โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ไทยซึ่งเป็นประเทศพึ่งพาการส่งออกย่อมหนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบ
มานุ ภัสการัน ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทที่ปรึกษา Centennial Asia Advisors ซึ่งมีฐานปฏิบัติการในสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกรุงเทพธุรกิจถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจากการเก็บภาษีของสหรัฐ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศในวันพุธ (2 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าโลกเพิ่มมากขึ้น และเกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน และภาวะเศรษฐกิจโลก
“สหรัฐจะขึ้นภาษีศุลกากรค่อนข้างสูงมาก บางประเทศจะขึ้นภาษีตอบโต้ ทำให้เกิดสงครามการค้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกจะอ่อนแอลง และจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเช่นประเทศไทย” มานุกล่าวพร้อมเสริม
“ปัจจัยเรื่องภาษีถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะประเทศไทยเกินดุลการค้าสหรัฐสูงเป็นอันดับที่ 11 ของโลก หากสหรัฐขึ้นภาษีสูงก็กระทบไทยมาก ฉะนั้นประเทศไทยจึงมีความเสี่ยงต่อภาษีอากรของสหรัฐ”
อย่างไรก็ตาม การประเมินผลกระทบเป็นตัวเลขทำได้ยากเพราะยังไม่ทราบว่าขอบเขตภาษีของทรัมป์จะเป็นเท่าใด ประเทศต่างๆจะตอบโต้ระดับไหนและไทยจะได้รับผลกระทบแค่ไหน มีความไม่แน่นอนสูงมาก แต่ภาพรวมแล้วถือว่าจะส่งผลทางลบต่อไทย
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีเหล็ก อลูมิเนียมนำเข้าสหรัฐ ไปแล้ว 25 % และประกาศจะตั้งกำแพงภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ทุกประเทศในวันที่ 2 เม.ย. รวมทั้งขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าสหรัฐอีก 25% นโยบายภาษีของทรัมป์ ทำให้จีน แคนาดา ตอบโต้ และสหภาพยุโรปขู่ตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้าผลิตในสหรัฐ เช่นกัน
จากความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นวอลล์สตรีทและประเทศอื่นๆรวมทั้งหุ้นไทย และหันมาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำมาก ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ วันที่ 31 มี.ค. ราคาทองคำตลาดเอเชียพุ่งทะลุ 3,100 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก
- เชื่อเศรษฐกิจโลกยังขยายตัว
นักลงทุนวิตกว่า ความเสี่ยงสงครามการค้า หรือการตอบโต้ขึ้นภาษีกันไปมา ระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวกระทบเศรษฐกิจโลกโดยรวม ซึ่งในมุมมองของมานุ
“มีโอกาสน้อยที่เศรษฐกิจโลกจะหดตัว ผมยังเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้ยังขยายตัว แต่ต่ำกว่าเทรนด์ที่ผ่านมามาก มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นผลของสงครามการค้า และ ปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์” ซีอีโอ Centennial Asia Advisors กล่าวและว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.3 % สำหรับปีนี้และปีหน้า ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ย 3.7% ในช่วงปี 2000-2019
สำหรับปัจจัยในประเทศไทย มานุมองว่า เศรษฐกิจไทยก็เจอปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ธนาคารระมัดระวังในการปล่อยกู้และประเทศไทยยังมีปัญหาเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้างคอยฉุดรั้ง เศรษฐกิจภายในอ่อนแอ จากหนี้ครัวเรือนสูงที่กระทบการบริโภค สังคมไทยเข้าสู่สงคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ผลิตภาพการผลิตต่ำโดยเฉพา ผลิตภาพของภาคเกษตร ผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวนาไทยต่ำกว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวด้วยกัน
- ยังพอเห็นสัญญาณดีจากเอฟดีไอ
การกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นด้วยการแจกเงินภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงต้นไม่ค่อยประสบผลดีนัก ด้านตลาดหุ้นไทยก็มีผลดำเนินการที่แย่ที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง จากที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไม่ดีนัก และไม่มีบริษัทดีๆใหม่ๆเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ในภาพรวมตลาดหุ้นอาเซียนได้รับผลกระทบจากความกังวลของนักลงทุนต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก
ทว่า มานุยังมองเห็นสัญญาณดีสำหรับเศรษฐกิจไทยอยู่บ้างคือการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ตามข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แต่การยื่นขอรับการส่งเสริมจากลงทุนจากบีโอไอ เป็นแต่เพียงสัญญาว่าจะลงทุน ยังต้องรอการลงทุนจริงโดยต้องดูว่า นักลงทุนจะดำเนินการตามที่ให้สัญญาไว้หรือไม่
- ไทยต้องปฏิรูปโครงสร้างเหมือนเวียดนาม
ภาคการท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มานุมองว่าไทยยังเติบโตได้ดี แต่เขาเสนอว่าประเทศไทยจำต้องปฏิรูปเศรษกิจของประเทศอย่างที่เวียดนามทำซึ่งต้องใช้เวลา ไทยจำต้องสร้างความหลากหลายของภาคเศรษฐกิจให้มากขึ้น ต้องพัฒนาทรัพยากรบุคคล จากที่นักเรียนไทยสอบวัดระดับโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากลหรือ PISA ได้คะแนนต่ำมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
เมื่อถามว่า ประเทศไทยประสบกับ “ทศวรรษที่สูญหายหรือไม่” มานุตอบกลับว่าเป็น “สองทศวรรษที่สูญหาย” ในด้านปัจจัยการเมืองเขาให้ข้อสังเกตว่า ไทยยังไม่พ้นจากภาวะวิกฤติที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2004
“ผู้กำหนดนโยบายมัวแต่ยุ่งกับปัญหาการเมืองในประเทศ ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องในอนาคต” มานุกล่าว โดยอ้างถึงความไร้เสถียรภาพทางการเมืองของไทยนับแต่กองทัพยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนในปี2006







