หน่วยข่าวกรองสหรัฐชี้ จีนเป็นภัยคุกคาม No.1 ด้าน 'การทหาร-AI'

หน่วยข่าวกรองสหรัฐชี้ จีนเป็นภัยคุกคาม No.1 ด้าน 'การทหาร-AI'

หน่วยข่าวกรองสหรัฐชี้ "จีน" ยังคงเป็นภัยคุกคามด้านการทหารและไซเบอร์สูงสุดของสหรัฐ และปักกิ่งมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในความพยายามเข้ายึดไต้หวัน

การประเมินภัยคุกคามประจำปีของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ เผยว่า จีนมีขีดความสามารถในการโจมตีสหรัฐด้วยอาวุธธรรมดา สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐผ่านการโจมตีทางไซเบอร์ และโจมตีทรัพย์สินของสหรัฐในอวกาศได้ และเสริมว่าปักกิ่งพยายามแทนที่สหรัฐขึ้นเป็นมหาอำนาจเอไอภายในปี 2023

รายงานระบุด้วยว่า รัสเซีย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และจีน พยายามท้าทายสหรัฐผ่านการรณรงค์ต่างๆ เพื่อให้ตนเองได้เปรียบอย่างจงใจ และการทำสงครามของรัสเซียในยูเครนได้ให้ “บทเรียนมากมายเกี่ยวกับการต่อสู้กับอาวุธและข่าวกรองของชาติตะวันตกในสงครามขนาดใหญ่”

รายงานระบุอีกว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนอาจมีแผนใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่เพื่อสร้างข่าวปลอม ลอกเลียนแบบบุคคล และสามารถโจมตีเครือข่ายต่างๆ

ทัลซี แกบบาร์ด ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติกล่าวกับคณะกรรมการข่าวกรองวุฒิสภา “กองทัพจีนกำลังเพิ่มขีดความสามารถขั้นสูง ทั้งอาวุธความเร็วเหนือเสียง เครื่องบินล่องหนเรือดำน้ำขั้นสูง อาวุธสงครามอวกาศและไซเบอร์ที่แข็งแกร่งขึ้น และมีอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้น” และว่าปักกิ่งเป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ที่มีความสามารถมากที่สุด

“จีนมีกลยุทธ์ระดับชาติหลายรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่สหรัฐ ในฐานะมหาอำนาจด้าน AI ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกภายในปี 2030” รายงานระบุ

ด้านจอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) กล่าวกับคณะกรรมการฯว่า จีนได้พยายามจำกัดการไหลเวียนของสารเคมีตั้งต้นที่ทำให้เกิดวิกฤติเฟนทานิลในสหรัฐ “เป็นระยะๆ” เนื่องจากจีนยังไม่เต็มใจที่จะปราบปรามธุรกิจที่ทำกำไรมหาศาลของจีน

ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด 20% เพื่อลงโทษที่ปักกิ่งล้มเหลวในการระงับส่งออกสารเฟนทานิล แต่จีนปฏิเสธว่าไม่ได้มีบทบาทในวิกฤตินี้ ที่นำไปสู่การเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐ

หลิว เผิงหยู โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน กล่าว “จีนมุ่งมั่นที่จะเป็นพลังแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความก้าวหน้าของโลก และมุ่งมั่นที่จะปกป้องอำนาจอธิปไตย ความมั่นคง และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ การใช้สารเฟนทานิลในทางที่ผิดเป็นปัญหาที่สหรัฐต้องเผชิญและแก้ไขเอง”

นอกจากนี้ หน่วยข่าวกรองระบุด้วยว่า อิหร่านมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาเครือข่ายตัวแทนภายในสหรัฐและมุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่สหรัฐในอดีตและปัจจุบัน และแม้อิหร่านยังคงพัฒนาระบบขีปนาวุธและโดรน UAV ผลิตในประเทศ และติดอาวุธให้กับกลุ่ม “ผู้ก่อการร้ายและนักรบที่มีแนวคิดเหมือนกัน” แต่สหรัฐยังคงประเมินว่า อิหร่าน “ไม่ได้กำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์”

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าว พบว่า สหรัฐเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับจีนเป็นหลัก ราว 1 ใน 3 ของรายงาน 33 หน้า และระบุว่าปักกิ่งเตรียมที่จะเพิ่มการบังคับใช้ทางทหารและเศรษฐกิจต่อไต้หวัน เกาะที่ปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ที่จีนอ้างว่าเป็นดินแดนของตน

"กองทัพปลดปล่อยประชาชน อาจมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สม่ำเสมอในแง่ของขีดความสามารถในการเข้ายึดไต้หวัน และสกัดการแทรกแซงทางทหารของสหรัฐ” รายงานระบุ และว่า เป้าหมายระยะยาวของจีนคือการขยายการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของกรีนแลนด์ และใช้เป็นฐานที่มั่นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

ด้านรองปธน.เจดี แวนซ์ เผย เตรียมเยือนกรีนแลนด์วันศุกร์ที่ 28 มี.ค.นี้

 

อ้างอิง: Reuters