‘MrBeast’ ทำเงินจากช็อกโกแลต ‘มากกว่า’ คอนเทนต์ยูทูบเสียอีก

‘MrBeast’ ทำเงินจากช็อกโกแลต ‘มากกว่า’ คอนเทนต์ยูทูบเสียอีก

‘MrBeast’ ราชาแห่ง YouTube ทำเงินจาก ‘ช็อกโกแลต’ ได้มากกว่า ‘คอนเทนต์’ ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาเสียอีก เป็นกำไรกว่า 600 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจคลิปคอนเทนต์ ขาดทุนเกือบ 2,700 ล้านบาท

KEY

POINTS

  • ธุรกิจช็อกโกแลตสร้างรายได้ให้ MrBeast 8,400 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว และ “มีกำไร” ราว 670 ล้านบาท 
  • ธุรกิจสื่อของ MrBeast ซึ่งรวมถึงช่อง YouTube และรายการเรียลลิตี้ของเขา สร้างรายได้ใกล้เคียงกัน แต่ “ขาดทุน” เกือบ 2,700 ล้านบาท
  • วิดีโอแต่ละคลิปบนช่องหลักของ MrBeast มีต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยสูงถึง 100-135 ล้านบาท

ในยุคนี้ หากเอ่ยถึง “ยูทูบเบอร์” ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก คนผู้นั้นคือ “MrBeast” หรือในชื่อจริงของเขาคือ เจมส์ โดนัลด์สัน (James Donaldson) ด้วยยอดซับสไครบ์ 370 ล้านแล้วในขณะนี้

หลายคนอาจคิดว่า “ตัวทำเงินหลัก” ของเขาคือ “คอนเทนต์ยูทูบ” แต่ในความจริงกลับพลิกผัน เพราะ “ช็อกโกแลตบาร์” ภายใต้แบรนด์ “Feastables” ต่างหากที่สร้างเม็ดเงินมหาศาล แซงหน้ายูทูบไปแล้วอย่างไม่เห็นฝุ่น 

Feastables ได้สร้างรายได้ให้บริษัท Beast Industries ของ MrBeast เป็นมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ (8,400 ล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว และ “มีกำไร” มากกว่า 20 ล้านดอลลาร์ (670 ล้านบาท) 

‘MrBeast’ ทำเงินจากช็อกโกแลต ‘มากกว่า’ คอนเทนต์ยูทูบเสียอีก

ในช่วงเวลาเดียวกัน ธุรกิจสื่อของ MrBeast ซึ่งรวมถึงช่อง YouTube และรายการเรียลลิตี้ของเขาสำหรับ Prime Video ของ Amazon.com สร้างรายได้ใกล้เคียงกัน แต่ “ขาดทุน” เกือบ 80 ล้านดอลลาร์ (2,700 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ตัวคลิปของ MrBeast ถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ทำให้แฟนคลับแห่มาอุดหนุนสินค้าของเขา โดยกว่า MrBeast จะมาไกลถึงขนาดนี้ได้ ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน เริ่มโพสต์คลิปลง YouTube ครั้งแรกในปี 2012 ขณะที่อายุเพียง 13 ปี จากนั้นก็ลองคอนเทนต์ต่างๆ ตั้งแต่การสตรีมเกมอย่าง Minecraft ,Call of Duty ฯลฯ แต่ก็ยังไม่ดัง

จนกระทั่งเขาทำคลิปนับเลข 1-100,000 ที่เผยแพร่ในปี 2017 กลายเป็นไวรัลดังพลุแตก ยอดติดตามทะลุ 1 ล้าน

‘MrBeast’ ทำเงินจากช็อกโกแลต ‘มากกว่า’ คอนเทนต์ยูทูบเสียอีก - MrBeast -

จุดเด่นของคลิปเขา คือ “แหวกแนว” และ “เล่นใหญ่” ยกตัวอย่างคอนเทนต์ MrBeast “ผมใช้เวลา 100 ชั่วโมงภายในพีระมิด!” “ผมใช้เวลา 50 ชั่วโมงขณะถูกฝังทั้งเป็น” “ผมให้เงินผู้คน 1,000,000 ดอลลาร์ แต่มีเวลาใช้แค่ 1 นาทีเท่านั้น!”

มีอยู่ฉากหนึ่งที่ MrBeast ให้ผู้เข้ารอบคนหนึ่งเลือกระหว่าง “เพื่อนร่วมทีม” กับ “รถ Tesla ระดับพรีเมียม” ปรากฏว่า คนนั้นเลือกเพื่อนร่วมทีมให้เข้ารอบด้วย กลายเป็นว่ารถ Tesla ถูกขบวนรถไฟวิ่งบดขยี้ไปต่อหน้าแทน จนสร้างบรรยากาศ “ความเสียดาย” อย่างชัดเจน สะท้อนถึงการปั้นคอนเทนต์ของ MrBeast ที่ทุ่มสุดตัว กล้าจัดเต็ม แม้จะทำให้งบประมาณบานก็ตาม จนทำให้ช่องเขามีผู้กดติดตามมากที่สุดในโลกขณะนี้ 

บริษัท MrBeast ยังคงขาดทุนติดกัน 3 ปีแล้ว

เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ บริษัท Beast Industries ได้ระดมทุนมากกว่า 450 ล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และกำลังมองหาทุนอีก 200-300 ล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายขยายธุรกิจไปสู่วิดีโอเกม เครื่องดื่ม และสุขภาพ ซึ่งมูลค่าบริษัท Beast Industries ถูกประเมินมูลค่าไว้ที่ราว 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.7 แสนล้านบาท) แม้ว่าบริษัทของ MrBeast นี้ “ขาดทุนมา 3 ปี” ติดต่อกันก็ตาม โดยขาดทุนเกือบ 60 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,000 ล้านบาท) ในปี 2024 

ในการให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ The Colin & Samir Show เมื่อเดือนมกราคม MrBeast กล่าวว่าการขยายธุรกิจ “เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ”

อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการลงทุนหุ้น นักลงทุนไม่ได้ยึดติดที่ผลขาดทุนในปัจจุบัน แต่มองไปที่แนวโน้มอนาคตมากกว่า โดย “จุดแข็งของ MrBeast” คือ มีฐานแฟนคลับมหาศาลทั่วโลก เครือข่ายผู้ติดตามเป็นรองเพียงตำนานนักฟุตบอลอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด เพียงคนเดียว 

ด้วยฐานแฟนคลับใหญ่เช่นนี้ จึงมอบพลังทางการตลาดที่ “ทรงอิทธิพลอย่างมาก” ให้กับ Beast Industries จนดึงดูดเหล่านักลงทุน แม้ว่าบริษัทจะขาดทุนก็ตาม เช่นเดียวกับนักร้อง “เซเลน่า โกเมซ” ที่เธอใช้ฐานแฟนคลับต่อยอดเป็นฐานลูกค้าในธุรกิจเครื่องสำอาง จนส่งให้เธอขึ้นแท่นเศรษฐีนีคนใหม่

ต้นทุนต่อคลิปเฉลี่ยอยู่ที่ 100-135 ล้านบาท

ในการสร้างคลิปสนุก เร้าใจให้เราดูในแต่ละเรื่อง MrBeast ได้สร้างศูนย์ผลิตวิดีโอขนาดใหญ่ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยมีพนักงานหลายร้อยชีวิตร่วมขับเคลื่อน พร้อมด้วยทีมผลิตวิดีโอโดยเฉพาะกว่า 200 คน 

ด้วยความที่วิดีโอแต่ละชิ้นล้วนเต็มไปด้วย “ความท้าทาย” อันเป็นเอกลักษณ์ ทีมงานของเขาจึงต้องเดินทางไปถ่ายทำในสถานที่ห่างไกล และเนรมิตฉากใหม่ที่ซับซ้อนอยู่เสมอ ทำให้วิดีโอแต่ละชิ้นบนช่องหลักของ MrBeast มีต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยสูงถึง 3-4 ล้านดอลลาร์ (100-135 ล้านบาท) ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับสถานะทางการเงินของบริษัท

การจะสร้างรายได้ให้ครอบคลุมงบผลิตที่สูงลิ่ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ช่อง YouTube มีข้อจำกัดด้านรายได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการเผยแพร่วิดีโอเพียงเดือนละสองสามชิ้น เพื่อต่อยอดธุรกิจบันเทิง MrBeast จึงนำเสนอแนวคิดรายการโทรทัศน์ต่อบริการสตรีมมิงชั้นนำ และในที่สุด “Amazon” ก็ทุ่มลงทุนให้กว่า 100 ล้านดอลลาร์ (3,300 ล้านบาท) เพื่อผลิตซีซั่นแรกของ “Beast Games” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เรียลลิตี้ทีวี

‘MrBeast’ ทำเงินจากช็อกโกแลต ‘มากกว่า’ คอนเทนต์ยูทูบเสียอีก

ถึงกระนั้น Beast Industries ก็ยังขาดทุนจากซีซั่นแรก หลังจากใช้จ่ายเกิน 100 ล้านดอลลาร์ โดยในช่วงหนึ่งของการถ่ายทำ MrBeast ตัดสินใจในทันที ที่จะเพิ่มเงินรางวัลสำหรับผู้เข้าแข่งขันเป็นสองเท่า จนทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายเพิ่มขึ้น 

“ผมขาดทุนหลายสิบล้านดอลลาร์จาก Beast Games” MrBeast กล่าวภายหลังในพอดแคสต์ Diary of a CEO โดยระบุว่า เขาเพียงต้องการทำให้รายการออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม Amazon ได้กล่าวว่า “Beast Games” เป็นรายการเรียลลิตี้ทีวีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และได้ตกลงที่จะสร้างอีกสองซีซั่น ซึ่งงบประมาณยังไม่ได้ตกลงกัน 

“ผมหวังว่าจะคุ้มทุนในซีซั่นสองและสาม แต่ผมไม่เก่งเรื่องการคุ้มทุน” MrBeast กล่าวในรายการ The Colin & Samir Show

‘เฮาเซนโบลด์’ ผู้มาแก้ขาดทุนของ MrBeast

สำหรับผู้ที่จะมาช่วยแก้ภาวะขาดทุนของธุรกิจ MrBeast คือ “เจฟฟรีย์ เฮาเซนโบลด์” (Jeffrey Housenbold) ซึ่งเป็นนักลงทุน Venture Capitalist โดย MrBeast จ้างเขาเมื่อปีที่แล้ว ให้ดำรงตำแหน่งประธานและซีอีโอของ Beast Industries 

นับตั้งแต่นั้นมา เฮาเซนโบลด์ได้เติมเต็มทีมผู้บริหารด้วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล และที่ปรึกษาทั่วไป พร้อมทั้งสร้างทีมงานสำหรับพันธมิตรแบรนด์ และกลยุทธ์ก่อนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ที่อาจเกิดขึ้น 

เขากำลังพยายามทำให้ธุรกิจมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น จัดการค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองบางส่วน และขยายไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ตามข้อมูลที่นำเสนอต่อนักลงทุน โดยบริษัทอาจขยายไปยังธัญพืชและขนมขบเคี้ยวในอนาคตด้วย

‘MrBeast’ ทำเงินจากช็อกโกแลต ‘มากกว่า’ คอนเทนต์ยูทูบเสียอีก

- เจฟฟรีย์ เฮาเซนโบลด์ -

เฮาเซนโบลด์กล่าวว่า เขาจะลดค่าใช้จ่ายประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ (3,300 ล้านบาท) ในปีนี้ พร้อมเปลี่ยนบริษัทให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ โดยคาดการณ์กำไรราว 300 ล้านดอลลาร์ (10,000 ล้านบาท) ในปี 2026 

เฮาเซนโบลด์ให้เหตุผลว่า การขาดทุนในอดีตนั้น เป็นความผิดพลาดที่สตาร์ทอัพมักทำในช่วงเริ่มต้น เมื่อพวกเขากำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเขาเชื่อว่า บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ในปี 2025 และ 2026 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และแผนกสื่อก็จะทำกำไรได้เช่นกัน

“เรามีแพลตฟอร์มอย่าง MrBeast ที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งในด้านการเข้าถึงผู้คนจำนวนมหาศาล และการมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น” เฮาเซนโบลด์กล่าว “สิ่งนี้เปิดโอกาสให้เราสร้างธุรกิจหลากหลายรูปแบบ โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งด้านการเข้าถึงและการกระจายของเรา”


อ้างอิง: yahoobloombergforbusiness