สงครามเหล็กโลกเดือด ทรัมป์ขึ้นภาษีสกัด 'จีน' ดันเหล็ก ‘เวียดนาม’ ทะลักไทย

สงครามเหล็กโลกเดือด ทรัมป์ขึ้นภาษีสกัด 'จีน' ดันเหล็ก ‘เวียดนาม’ ทะลักไทย

สงครามเหล็กร้อนระอุ ทรัมป์ขึ้นภาษีสกัดเหล็ก 'จีน' ดันเหล็ก ‘เวียดนาม’ ทะลักเข้าไทย คาดว่าปีนี้จีนจะส่งออกเหล็กลดลงถึง 17% เพราะโดนต่อต้านจากทั่วโลก

KEY

POINTS

  • ทั่วโลกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อสกัด 'เหล็กจีน' ที่ดัมพ์ราคาตลาด ล่าสุด 'ทรัมป์' ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียม 25% เริ่มมีผลบังคับใช้  12 มี.ค.68 ที่ผ่านมา 
  • เหล็กส่วนเกินจากจีน และประเทศอื่นๆ อาจไหลเข้าตลาดที่กำลังประสบปัญหา เช่น "ไทย" ที่เจอเหล็กเวียดนามเข้ามาในตลาดแล้ว
  • อุตสาหกรรมเหล็กในจีนอาจเจ็บหนัก คาดปีนี้จีนส่งออกเหล็กลดลง 17% เพราะโดนต่อต้านจากหลายประเทศทั่วโลก

 

บลูมเบิร์กรายงานสถานการณ์อุตสาหกรรม “เหล็ก” ทั่วโลกกำลังร้อนระอุอีกครั้ง เมื่อหลายประเทศประกาศมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ ซึ่งสถานการณ์นี้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศที่กำลังซบเซา

นโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งเป้าไปที่ “จีน” โดยทรัมป์อ้างว่าเหล็กจากจีนกำลังไหลทะลักเข้าประเทศอื่นๆ ก่อนจะถูกส่งต่อมายังสหรัฐ โดยเฉพาะบราซิล เม็กซิโก และอาร์เจนตินาเป็นตัวการในการนำเข้าเหล็กจากจีนแล้วส่งออกต่อมายังสหรัฐ พร้อมตำหนิประเทศอื่นๆ ว่า จัดการปัญหาการขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเหล็กจีนได้ไม่ดีพอ

สงครามเหล็กโลกเดือด ทรัมป์ขึ้นภาษีสกัด \'จีน\' ดันเหล็ก ‘เวียดนาม’ ทะลักไทย

‘จีน’ ผลิตเหล็กล้นตลาดโลก 

อุตสาหกรรมเหล็กโลกเผชิญภาวะตึงเครียดในปีที่ผ่านมา หลังจากที่ “จีน” ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ส่งออกเหล็กในปริมาณมหาศาลจนเกิดปัญหาเหล็กล้นตลาดโลก ทำให้ราคาเหล็กตกต่ำ และทำให้ผู้ผลิตเหล็กในประเทศอื่นๆ ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเหล็กจากจีนได้

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้เหล็กในจีนจะลดลงจากการระบาดของโควิด-19 และวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ปริมาณการผลิตเหล็กของจีนยังคงสูงเกิน 1 พันล้านตันต่อปี อย่างต่อเนื่องจนต้องระบายเหล็กส่วนเกินออกสู่ตลาดโลก

ทั่วโลกออกมาตรการสกัด ‘เหล็กจีน’

ภาษีนำเข้าเหล็ก และอะลูมิเนียม 25% ของประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 มี.ค.68 ที่ผ่านมา  

เวียดนาม และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ซื้อเหล็กรายใหญ่ 2 รายของจีน และเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและออกมาตรการจำกัดโควตาการนำเข้า เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศจากสินค้าราคาถูกที่หลั่งไหลเข้ามา

ส่วนไต้หวันได้เปิดการสอบสวนการทุ่มตลาด และหน่วยงานการค้าของอินเดียได้แนะนำให้กำหนดภาษีนำเข้าเหล็ก 

ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปก็กำลังพิจารณาปรับปรุงระเบียบป้องกัน ด้วยการจำกัดปริมาณการนำเข้า และการเพิ่มภาษีหากนำเข้าเกินโควตา ส่วนในลาตินอเมริกา ผู้ผลิตเหล็กกำลังกดดันรัฐบาลของตนให้ใช้มาตรการปกป้องเพิ่มเติม เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า การจำกัดโควตา และการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากผู้ผลิตต่างประเทศ

สงครามเหล็กโลกเดือด ทรัมป์ขึ้นภาษีสกัด \'จีน\' ดันเหล็ก ‘เวียดนาม’ ทะลักไทย

กำแพงภาษีในอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก ที่กำลังเกิดขึ้นครั้งนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิตรถยนต์ไปจนถึงงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่การย้ายฐานการผลิต และการสูญเสียตำแหน่งงานในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาเหล็กซึ่งกำลังประสบปัญหาอยู่แล้ว 

สงครามภาษีดันเหล็ก ‘เวียดนาม’ ทะลักเข้าไทย

โทมัส กูติเอเรซ ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมเหล็กจาก Kallanish Commodities กล่าวว่า หากสหรัฐกีดกันการนำเข้าเหล็ก และเมื่อเหล็กเข้าอเมริกาไม่ได้ ผู้ผลิตจะไปขายในตลาดประเทศอื่นทันที นอกจากนี้ผู้ผลิตเหล็กมีความกังวลว่าเหล็กส่วนเกินจากจีน และประเทศอื่นๆ จะถูกส่งเข้ามาในตลาดที่กำลังประสบปัญหาอยู่แล้ว ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก 

เพ็ชรรุ้ง เมษินทรีย์ นายกสมาคมผู้ผลิตท่อโลหะ และแปรรูปเหล็กแผ่น กล่าวว่า ผู้ผลิตเหล็กไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายที่หนักหนาสาหัสกว่าเดิมมาก ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากจากเหล็กจีนที่ไหลบ่าเข้ามาในประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศแล้วก็ตาม 

"อีกเรื่องที่น่ากังวลคือ ถ้าประเทศอื่น ๆ เก็บภาษีนำเข้าเหล็กจากประเทศอื่นสูงขึ้น นอกเหนือจากจีน ประเทศเหล่านั้นอาจจะส่งเหล็กมาขายในไทยแทน ซึ่งตอนนี้เราเริ่มเห็นเหล็กจากเวียดนามเข้ามาขายในไทยมากขึ้นแล้ว"  

‘เหล็กจีน’ เตรียมเจ็บหนัก

ข้อมูลจากตลาดโลหะเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Metals Market) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของจีน ได้ประเมินว่าปริมาณเหล็กกล้าของจีนที่ถูกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดมีจำนวนมากกว่า 30 ล้านตัน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยปริมาณดังกล่าวคิดเป็นมากกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณการส่งออกเหล็กกล้าของจีนในปีที่ผ่านมา

กูเตียร์เรซ จาก Kallanish กล่าวว่า จีนเคยมีปัญหาเรื่องการส่งออกมาก่อน โดยแก้ไขด้วยการเปลี่ยนไปผลิตเหล็กชนิดอื่นหรือหาตลาดใหม่ แต่ถ้าครั้งนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ อุตสาหกรรมเหล็กในจีนจะเจ็บหนัก และความเสี่ยงคือ "การควบคุมจะเข้มงวดมากจนถึงจุดที่รับไม่ไหว"

สถาบันวิจัย และวางแผนอุตสาหกรรมโลหะของจีน ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาล เตือนว่าการส่งออกจะแย่ลง โดยปี 2567 มีการบันทึกคดีต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กจีนมากกว่า 30 คดีแล้ว ขณะที่บริษัทที่ปรึกษา CRU Group คาดว่าปีนี้จีนจะส่งออกเหล็กลดลงถึง 17% เพราะโดนต่อต้านจากหลายประเทศทั่วโลก

 

อ้างอิง Bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์