สรุป ‘ทรัมป์’ ป่วนตลาดทุน ฉุด ‘7 หุ้นนางฟ้า’ เกือบตกสวรรค์

สรุป ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ป่วนตลาดทุน - ตลาดหุ้นฉุด ‘7 หุ้นนางฟ้า’ เกือบตกสวรรค์ ดิ่งกว่า 20% กดมูลค่าบริษัทลดลง 780,000 ล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว
KEY
POINTS
- ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เพื่อปฏิเสธข้อกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอย”
- Magnificent 7 มีน้ำหนักประมาณ 30% ของดัชนี S&P 500 ร่วงราว 5.4% และถ้าเทียบกับสถิติสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวพบว่า ราคาหุ้นร่วงลงราว 24.9% ส่งสัญญาณ ‘ตลาดหมี’
- นักวิเคราะห์เตือน หุ้นอาจมีการปรับฐานรุนแรง หากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคยังคงไม่แน่นอนในอนาคต
เว็บไซต์บิสสิเนสอินไซเดอร์ รายงานความเคลื่อนไหวตลาดหุ้น “สหรัฐ” กำลังปั่นป่วนหนัก หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เพื่อปฏิเสธข้อกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอย”
ทรัมป์ถูกถามในรายการ Sunday Morning Futures ว่า “คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้หรือไม่?”
ทรัมป์ตอบว่า "ผมไม่อยากคาดเดาว่าอะไรแบบนั้นจะเกิดขึ้น มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นยิ่งใหญ่มาก"
ส่วน “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่านี่เป็น "ช่วงดีท็อกซ์" หรือช่วงปรับสภาพ ในขณะที่สหรัฐกำลังเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายให้ห่างจากการพึ่งพาการใช้จ่ายของภาครัฐ
สถานการณ์ความกังวลนี้ทำให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงถึง 3% และดัชนี Nasdaq 100 ในกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลง 4% รวมทั้ง “7 หุ้นนางฟ้า” (Magnificent Seven) ปรับตัวอย่างรุนแรงจนส่งสัญญาณ “ขาลง”
วานนี้ (10 มี.ค.68) ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญกับแรงเทขายในหุ้นหลายกลุ่ม เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์ ได้สร้างความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐ อาจไม่แข็งแกร่งอย่างที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ในช่วงแรกของการเข้ารับตำแหน่ง
7 หุ้นนางฟ้า มูลค่าวูบ 7 แสนล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ซึ่งเป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 30% ของดัชนี S&P 500 ร่วงราว 5.4% และถ้าเทียบกับสถิติสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวพบว่า ราคาหุ้นร่วงลงราว 24.9% ซึ่งหากดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่า 20% ของมูลค่าคือ การส่งสัญาณ “ตลาดหมี” หรือ “ขาลง” ซึ่งมูลค่าตลาดรวมกันลดลงราว 780,000 ล้านดอลลาร์ภายในวันเดียว
ในบรรดาหุ้น Tesla ร่วงลงแรงที่สุดถึง 15.43% และร่วงลงจากนิวไฮ ปิดตลาดที่ 222.15 ดอลลาร์ ซึ่งลดลง 54.53% จากนิวไฮที่ระดับ 488.54 ดอลลาร์ ตามด้วยหุ้น “อินวิเดีย” ปิดตลาดลดลง 5.07% ปิดตลาดที่ 106.98 ดอลลาร์ ลดลงประมาณ 30.14% จากราคานิวไฮที่ 153.13 ดอลลาร์
หุ้นเก็งกำไร-หุ้นซอมบี้ ร่วงกว่า 50%
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้การซื้อขายหุ้นเก็งกำไรมีความผันผวนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หุ้น MicroStrategy ของ Michael Saylor บริษัทซอฟต์แวร์ที่เป็นผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่ ลดลง 50% จากจุดสูงสุดในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ บริษัทที่ถูกเรียกว่า “บริษัทซอมบี้” คือ บริษัทที่มีปัญหาทางการเงิน และไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา กำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างมากในตลาดหุ้น โดยราคาหุ้นลดลงอย่างมาก ตัวอย่างเช่น บริษัท CryoPort Inc. ราคาหุ้นร่วงถึง 25%
‘แนสแด็ก’ ทำผลงานแย่สุดในรอบ 3 ปี
หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ถูกการเทขาย ส่งผลกระทบต่อดัชนี S&P 500 ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก ดัชนี S&P 500 ลดลง 8.6% จากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เข้าใกล้จุดปรับฐาน ส่วนดัชนี Nasdaq 100 ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงถึง 4% นับว่าทำผลงานแย่ที่สุดในรอบ 3 ปี
บิตคอยน์ดิ่งต่ำ 80,000 ดอลลาร์
ราคา Bitcoin ลดลงอย่างมากถึง 6.8% ทำให้ราคาอยู่ที่ 77,416 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเหรียญ Solana, Cardano และ XRP ซึ่งเป็นเหรียญที่นายทรัมป์เคยพูดถึงว่าอาจเป็นตัวเลือกสำหรับคลังสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ไม่ได้ถูกระบุไว้ในคำสั่งบริหารของเขา ก็มีราคาลดลงเช่นกัน
นอกจากนี้ หุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซีก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน โดยหุ้นของ Coinbase Global Inc. ลดลงถึง 18% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลง 0.08% มาอยู่ที่ 4.22% ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่วนค่าเงิน “ดอลลาร์” แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย 0.2% ทำให้บริษัทชั้นนำประมาณ 10 แห่งได้เลื่อนการออกขายพันธบัตรออกไป ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนในตลาดตราสารหนี้
ระวังหุ้น ‘ปรับฐาน’
นักลงทุนรายย่อยกำลังเผชิญกับความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน ข้อมูลจากสมาคมนักลงทุนรายย่อยแห่งอเมริกา (AAII) เผยว่า นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงในอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยมีนักลงทุนไม่ถึง 20% ที่คาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
แดน วอนโทรบสกี้ จาก Janney Montgomery Scott กล่าวว่า แม้ตัวชี้วัดความรู้สึกของนักลงทุน เช่น ดัชนีกระทิง/หมีของ AAII จะแสดงให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยมีความกังวลเป็นอย่างมาก แต่การลงทุนจริงของนักลงทุนทั้งรายย่อย และสถาบันยังคงเน้นไปที่การถือหุ้นระยะยาว พร้อมเตือนว่าราคาหุ้นอาจมีการปรับฐานรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคยังคงไม่แน่นอนต่อไปในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์