เปิดสัมพันธ์ ‘อาร์โนลต์-ทรัมป์’ ใบเบิกทางอาณาจักร ‘ลักชัวรีแบรนด์’

เปิดสัมพันธ์ ‘อาร์โนลต์-ทรัมป์’ ยาวนานกว่า 40 ปี ใบเบิกทางอาณาจักร ‘ลักชัวรีแบรนด์’ ของอาร์โนลในสหรัฐรอดพ้นจาก ‘ภาษีนำเข้า’
KEY
POINTS
- 'อาร์โนลต์' มีความฝันที่จะก้าวขึ้นเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเหมือนกับ 'ทรัมป์' หลังจากเจอกันครั้งแรกในปี 1980
-
ในปี 2019 สินค้าฟุ่มเฟือยบางชนิดอย่าง แชมเปญและกระเป๋าหนัง ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้การบริหารของอาร์โนลต์กลับถูกได้รับการยกเว้น
-
'สหรัฐ' อาจเป็นความหวังใหม่ของ LVMH เมื่อเศรษฐกิจ 'ฝรั่งเศษ' กำลังชะลอตัว ส่วนยอดขายจากจีนก็ซบเซา ท่ามกลางสงครามการค้าครั้งใหม่
ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว "โดนัล ทรัมป์" และครอบครัวของ "เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์" นั้นมีมายาวนานและแน่นแฟ้น มิตรภาพเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ตอนนั้นทั้งคู่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ทำให้อาร์โนลต์ได้พบกับทรัมป์ครั้งแรกที่งานการกุศลแห่งหนึ่ง
ในช่วงเวลานั้น อาร์โนลต์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของแบรนด์สินค้าหรูหราแม้แต่แบรนด์เดียว แต่เขามีความฝันที่จะก้าวขึ้นเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเหมือนกับทรัมป์
หนึ่งในดีลครั้งสำคัญที่ทรัมป์เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจของอาร์โนลต์ หลังจากที่อาร์โนลต์แจ้งให้ทรัมป์ทราบล่วงหน้าเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับ แผนการลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเฉพาะเจาะจง นั้นก็คือ บริษัท LVMH ของอาร์โนลต์ได้ซื้อกิจการ Tiffany & Co. ในปี 2021 ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 16,200 ล้านดอลลาร์
การซื้อกิจการนี้ทำให้ LVMH ได้ครอบครองพื้นที่สำคัญในย่านธุรกิจชั้นนำของนิวยอร์ก โดยสามารถควบคุมพื้นที่ 3 ใน 4 มุมของถนนสาย 57th และ Fifth Avenue ในมุมมองของนักอสังหาริมทรัพย์ กลยุทธ์นี้ทำให้อาณาจักรลักชูรี่แบรนด์ของ อาร์โนลต์ ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในสหรัฐ หรืออาจจะเป็นทำเลที่ดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
สิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างทรัมป์และอาร์โนลต์ในทางธุรกิจ คือ Trump Organization เป็นเจ้าของอาคารที่ Louis Vuitton เช่าพื้นที่ในมิดทาวน์แมนฮัตตัน และทรัมป์มี "สิทธิทางอากาศ" (air rights) จากอาคารทรัมป์ทาวเวอร์ที่อยู่ติดกันกับตึกของ Tiffany & Co. หมายความว่าหากอาร์โนลต์ต้องการต่อเติมอาคารให้สูงขึ้น จะต้องได้รับอนุญาตจากทรัมป์ก่อน
นอกจากนี้ ทั้ง 2 ตระกูลมีความสนิทสนมพอสมควร ทั้งอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สองของอาร์โนลต์ สนิทกับจาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยของทรัมป์จนกลายเป็นเพื่อนกัน หรือเดลฟีน อาร์โนลต์ ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของดิออร์ ก็สนิทกับ อิวานกา ทรัมป์ ซึ่งเธอได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ชอบและคลั่งไคร้แบรนด์ดิออร์มากๆ
อะไรทำให้ LVMH ไม่โดนเก็บ ‘ภาษี’
ในปี 2017 อาร์โนลต์เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจกลุ่มแรกๆ ที่แสดงท่าทีสนับสนุนทรัมป์อย่างเปิดเผย โดยเดินทางไปพบทรัมป์พร้อมกับอเล็กซานเดอร์ที่สหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาสำคัญ คือช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรก สิ่งนี้ถูกมองว่าเป็นการแสดงความเคารพและยอมรับต่อผู้นำคนใหม่
หลังจากนั้น ในปี 2019 รัฐบาลทรัมป์ ได้กำหนดให้มีการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรป ซึ่งมีมูลค่ารวม 7,500 ล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การที่สหภาพยุโรปให้เงินอุดหนุนแก่บริษัทแอร์บัส (Airbus) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของยุโรป
โดยการเก็บภาษีนำเข้านี้ มุ่งเป้าไปที่สินค้า 3 ประเภทหลัก ได้แก่เครื่องบิน ชีส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์และสก็อตช์ วิสกี้ แต่สินค้าฟุ่มเฟือยบางชนิดกลับถูกได้รับการยกเว้นอย่าง แชมเปญและกระเป๋าหนัง ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้การบริหารของอาโนล
ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก อาร์โนลต์ได้ตัดสินใจขยายฐานการผลิตไปยังสหรัฐ พร้อมกับให้การสนับสนุนนโยบายทรัมป์อย่างชัดเจน จึงทำให้หลายแบรนด์ในมือของอาร์โนลต์รอดพ้นจากการถูกเก็บภาษีศุลกากรรอบแรก ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่นๆ จากยุโรปต้องเผชิญกับผลกระทบนี้
หนึ่งวันก่อนที่ภาษีศุลกากรจะถูกบังคับใช้ อาร์โนลต์และอเล็กซานเดอร์ได้ขึ้น เครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน กับทรัมป์ โดยมุ่งหน้าไปยังจอห์นสันเคาน์ตี้ รัฐเท็กซัส เพื่อเปิด โรงงานหลุยส์ วิตตอง แห่งใหม่ โดยบริษัทได้ลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ในโรงงานแห่งนี้ และมีแผนที่จะจ้างพนักงาน 1,000 คนภายในห้าปี
นั่นหมายความว่า กระเป๋า หลุยส์ วิตตอง ที่ผลิตที่โรงงานแห่งนี้ ทั้งรุ่นเนอเวอร์ฟูล Neverfull, นีโอโนเอ้ (NéoNoé) และ เมทิส (Métis) ต่างก็มีป้าย "Made in USA" ติดอยู่
ในตอนนั้น มีนักข่าวชาวฝรั่งเศสสงสัยว่าทำไมทรัมป์ถึงเก็บภาษีสินค้าบางอย่างจากฝรั่งเศส เช่น ไวน์และชีส แต่กลับไม่เก็บภาษีสินค้าหรูหรา อย่างแชมเปญและเครื่องหนัง ทรัมป์จึงตอบว่าเขากำลังปรึกษาเรื่องนี้กับอาร์โนลต์อยู่
ทรัมป์อธิบายว่าเขาไม่สามารถเก็บภาษีจากอาร์โนลต์ได้ เพราะอาร์โนลต์ได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วนมาที่สหรัฐอเมริกาแล้ว พร้อมทั้งกล่าวชมอาร์โนลต์ว่าเป็นคนฉลาดและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าคนอื่นๆ มาก
อาณาจักรลักชูรี ในยุค ‘ทรัมป์ 2.0’
ความสัมพันทรัมป์และอาร์โนลต์ ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.2024 ที่ผ่านมา อเล็กซานเดอร์ได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน ด้วยการเข้าร่วมการชุมนุมหาเสียงของทรัมป์ที่นิวยอร์ก
อาร์โนลต์กล่าวว่า “ใครจะปฏิเสธคำเชิญจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้เข้าร่วมพิธีสาบานตนเขารับตำแหน่ง นอกจากนี้ ผมยังมีความสัมพันธ์อันยาวนานกับเขา”
งานฝีมือชั้นเลิศ ด้วยทักษะความเชี่ยวชาญพิเศษของช่างฝีมือชาวฝรั่งเศส คือ จุดขายที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อกระเป๋าถือและเครื่องประดับหรูหรา แต่ความพิเศษเฉพาะตัว คือ การผลิตในยุโรป ทำให้ LVMH และแบรนด์ชั้นนำอีกหลายสิบแบรนด์ในเครือ ต้องเผชิญกับนโยบายการค้า "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) ของทรัมป์ ซึ่งกำลังสร้างแรงกดดันให้บริษัทต่างชาติ ต้องย้ายฐานการผลิตเข้ามาตั้งในสหรัฐอเมริกา
‘สหรัฐ’ ทางรอด LVMH
ตอนนี้ ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานลักชูรี่แบรนด์หลายแห่ง เริ่มไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตทางธุรกิจอีกต่อไป เพราะว่า เศรษฐกิจของฝรั่งเศสประสบภาวะหดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้าของปี 2024 และกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องสำคัญที่อาจกระทบต่อทิศทางธุรกิจของอาโนล
สมาชิกรัฐสภาฝรั่งเศสเตรียมที่ตะเริ่มเจรจาเกี่ยวกับงบประมาณปี 2025 โดยนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรูเสนอการปรับขึ้นภาษีและการลดรายจ่ายมูลค่า 53,000 ล้านยูโร เพื่อควบคุมการขาดดุลงบประมาณของฝรั่งเศสที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในมาตรการเหล่านั้นคือการปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะปรับขึ้นเป็น 41.2 % สำหรับบริษัทที่รายได้มากกว่า 3,000 ล้านยูโร เช่น LVMH
นโยบายนี้ ทำให้อาร์โนลต์พูดในวันรายงานผลประกอบการ เมื่อวันที่ 28 มกราคมนที่ผ่านมาว่า “นี่ถือเป็นวิธีที่เหมาะสมในการส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ” และ LVMH กำลังพิจารณาเรื่องการลงทุนเพิ่มในสหรัฐอย่างจริงจัง
ดังนั้น สหรัฐอเมริกาอาจเป็นกุญแจสำคัญต่อการเติบโตของ LVMH ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ในปีที่แล้ว LVMH มีรายได้จากสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 25% หรือประมาณหนึ่งในสี่ของแหล่งรายได้ทั้งหมด หลังจากที่ยอดขายในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของบริษัท ได้ลดลงอย่างมาก ถึงประมาณ 20% โดยยอดขายที่ลดลงทำให้อาร์โนลต์ต้องสูญเสียตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานบริษัท LVMH กำลังว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ในกรุงวอชิงตัน เพื่อชี้แจงว่าสินค้าหรูหราจากยุโรปไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหาการค้าระหว่างประเทศ และพยายามให้สินค้าของบริษัทได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า
จากแนวโน้มเศรษฐกิจของฝรั่งเศสดูไม่ดีนัก ยอดขายในจีนก็ไม่สู้ดี ทำให้อาร์โนลต์เผยว่า LVMH กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนครั้งใหญ่ในด้านการผลิตหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาในช่วงสองปีข้างหน้านี้ ซึ่งปัจจุบัน LVMH ดำเนินกิจการโรงงานในสหรัฐอเมริกาแล้วทั้งหมด 14 แห่ง
ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นอาจเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องและเอื้อประโยชน์ให้กับอาณาจักลักชูรี่แบรนด์ และการที่ Arnault เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจแรกๆ ที่แสดงการสนับสนุนทรัมป์ตั้งแต่ปี 2017 อาจเป็นการลงทุนความสัมพันธ์ที่กำลังจะให้ผลตอบแทนในช่วงวิกฤติสงครามการค้านี้







