มองทุนสำรองจากมุมของ ฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำ ควายหลังหัก

มองทุนสำรองจากมุมของ ฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำ ควายหลังหัก

แม้ควายจะหายไปจากทุ่งนา เมื่อเทคโนโลยีใหม่ในรูปของรถไถนาเข้ามาทำงานแทน สังคมไทยคงไม่มีวันลืมบทบาทของควายในด้านการเป็นแรงงานในทุ่งนา ไม่ว่าจะเป็น การลากไถ หรือการใช้พลังขนสัมภาระ

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราแปลคำพูดที่มาจากหลายภาคของโลกซึ่งใช้อูฐ หรือม้าทำงานในแนวเดียวกับควาย เราจึงอาจแปลสัตว์เหล่านั้นว่าควาย เช่น The last straw that breaks the camel’s (horse’s) back. แปลเป็น “ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำควายหลังหัก” 

คำพูดนี้จะเริ่มใช้กันที่ไหนไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้  ในปัจจุบัน ชาวโลกใช้กันอย่างกว้างขวางเมื่อจะสะท้อนแนวคิดกว้าง ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์สุดท้ายที่ทำให้บุคคลทนไม่ไหว จึงกระทำอะไรลงไป หรือ เหตุการณ์ที่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง 

โดยทั่วไป คำพูดและแนวคิดนี้มักนำมาใช้ในด้านลบ  แต่จะนำมาใช้ในกรณีทั่วไปก็คงไม่ผิด   

ย้อนเวลาไปกว่า 50 ปี ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และอุตุนิยมวิทยาชื่อ เอ็ดเวิร์ด ลอเลนซ์ ใช้แนวคิดนี้เมื่อพูดในที่ประชุมบรรดาอาจารย์และนักวิชาการด้านต่าง ๆว่า แรงลมจากการกระพือปีกของผีเสื้อเพียงตัวเดียวในประเทศบราซิลในอเมริกาใต้อาจทำให้เกิดพายุใหญ่ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐในอเมริกาเหนือ 

ความลึกซึ้งของคำพูดในวันนั้นมักไม่เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดทันทีในหมู่ผู้ฟังครั้งแรก หรือฟังอย่างผิวเผิน  หลังเวลาผ่านไป ความเข้าใจในความลึกซึ้งของมันจึงได้กระจายออกไปอย่างกว้างขวางพร้อมกับความตระหนักว่ามันมาจากทฤษฎีความอลวน (Chaos Theory)    

เนื่องจากกราฟของสมการคณิตศาสตร์ที่ศาสตราจารย์ลอเรนซ์ใช้ในวันนั้นมีลักษณะคล้ายผีเสื้อ

การยกตัวอย่างของแนวคิดอันเป็นที่มาของฟางเส้นสุดท้ายจึงกลายเป็นแรงลมจากการกระพือปีกของผีเสื้อตัวเดียวซึ่งแม้จะแผ่วเบาก็อาจจุดชนวนให้เกิดพายุใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลถึงในต่างทวีป 

ผลของการกระพือปีกที่ทำให้เกิดลมพายุนี้มีชื่อว่า The Butterfly Effect  ฉะนั้น เราอาจเรียกทฤษฎีความอลวนว่า “ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก” และนำมาใช้อธิบายเรื่องความสำคัญของการกระทำเพียงเล็กน้อยของเราซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง หรือในอีกนัยหนึ่ง เราทุกคนมีความสำคัญ  

เมื่อปี 2543 แนวคิดในแนวเดียวกันได้รับการขยายให้ครอบคลุมอย่างกว้างขวางและพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ The Tipping Point (มีบทคัดย่อภาษาไทยอยู่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา) ซึ่งเราอาจนำมาใช้ในด้านการบริหารประเทศ  ขอนำอาร์เจนตินามาเป็นตัวอย่าง  

รัฐบาลอาร์เจนตินาเริ่มใช้นโยบายประชานิยมแนวแจกของให้แก่ประชาชนเมื่อปี 2459  (มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ “ประชานิยม ทางสู่ความหายนะ” ซึ่งอาจดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ที่อ้างถึง) ชาวอาร์เจนตินาเสพติดนโยบายนั้นทันทีส่งผลให้รัฐบาลที่ตาม ๆ มาต้องดำเนินการต่อ 

การแจกเช่นนั้นเป็นภาระที่ต้องจ่ายด้วยรายได้และทรัพย์สินที่อยู่ในการบริหารจัดการของรัฐบาล  ในช่วงแรก การแจกไม่มีปัญหาเนื่องจากอาร์เจนตินามีรายได้ดีจึงเก็บภาษีได้สูงและสะสมทุนสำรองได้กองใหญ่ 

ต่อมาเมื่อการค้าขายยากลำบากขึ้นมากเนื่องจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เริ่มในปี 2462 รัฐบาลยังดำเนินนโยบายในแนวเดิมอันเป็นการเพิ่มภาระจนต้องนำทุนสำรองออกมาใช้ 

เมื่อทุนสำรองหมด อาร์เจนตินาก็ล้มละลายในปี 2499  การเพิ่มภาระที่ทำให้ต้องใช้ทุนสำรองจนหมดนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ควายอาร์เจนตินาหลังหัก 

หันมามองเมืองไทย รัฐบาลเริ่มใช้นโยบายประชานิยมแนวแจกของให้แก่ชาวไทยในปี 2544  มันทำให้ชาวไทยเสพติดทันที  รัฐบาลต่อ ๆ มาจึงต้องแจกด้วยส่งผลให้ภาระของรัฐบาลในด้านนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในขณะนี้ ไทยไม่ต่างกับอาร์เจนตินาในช่วงต้น ๆ ของการใช้นโยบายประชานิยม นั่นคือ มีทุนสำรองกองใหญ่รวมทั้งทองคำที่หลวงตามหาบัวชักชวนชาวไทยให้บริจาค  หากรัฐบาลเพิ่มภาระนี้ต่อไปจนต้องนำทุนสำรองออกมาใช้สนับสนุน

ภาระที่ทำให้ต้องใช้ทุนสำรองกองใหญ่นั้นเปรียบเสมือนการบรรทุกฟางบนหลังควาย  ภาระชุดที่ทำให้ทุนนั้นหมดไปเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำควายไทยหลังหัก หรือเมืองไทยล้มละลายเช่นอาร์เจนตินา