นักลงทุนจีนเบนเข็มสู่ ‘หุ้นบันเทิง’ ทำรายได้ชนะ ‘เงินฝืด‘

นักลงทุนจีนเบนเข็มสู่ ‘หุ้นบันเทิง’ หลังธุรกิจภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ สวนทางเศรษฐกิจยุค ‘เงินฝืด’ สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อ ‘ความชอบ‘
สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่กำลังเผชิญกับภาวะ “เงินฝืด” ทำให้พฤติกรรมการบริโภคของผู้คนเปลี่ยนแปลง ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นจีนจึงปรับกลยุทธ์การซื้อขาย โดยเน้นไปที่หุ้นของบริษัทที่ตอบสนองต่อแนวโน้มการ "ลดค่าใช้จ่าย" และ "ความคุ้มค่า" ของผู้บริโภค ทว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนไม่ได้ส่งผลดีต่อทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน หุ้นบางตัวได้รับผลกำไร ในขณะที่บางตัวกลับขาดทุน
สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นจีนกำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน โดยหันมาให้ความสนใจกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้บริโภคใน “ราคาประหยัด” เช่น ภาพยนตร์, งานศิลปะ, ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และร้านกาแฟ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็กำลังลดการถือครองหุ้นในกลุ่ม “สินค้าฟุ่มเฟือย” เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เครื่องประดับ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยเป็นตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
ดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีหลักของตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.40% ตั้งแต่ต้นปี โดยได้รับแรงหนุนจาก “ดีปซีก” (DeepSeek) แต่ก็ยังต่ำว่าจุดสูงสุดในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว 6.5%
ธุรกิจภาพยนตร์โตสวนทาง ‘เงินฝืด’
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคชาวจีนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ธุรกิจภาพยนตร์กลับเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “นาจา 2” (Ne Zha 2) ที่สร้างปรากฏการณ์ทำรายได้ถล่มทลายกว่า 12,000 ล้านหยวน หรือราว 55,256 หมื่นล้านบาท จยกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์จีน
ความสำเร็จครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเอ็นไลท์ มีเดียผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ พุ่งสูงขึ้นเกือบ 3 เท่าภายในเวลาไม่ถึงเดือน
กระแสความนิยมของภาพยนตร์แอนิเมชั่นนาจา 2 ส่งแรงกระเพื่อมไปสู่สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ แบรนด์สินค้าชั้นนำต่างพากันจับมือเป็นพันธมิตรกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อสร้างสรรค์สินค้าคอลเลกชันพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการของแฟนๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “ป๊อปมาร์ท” Pop Mart บริษัทอาร์ตทอยผู้ผลิต ”กล่องสุ่ม” ได้เปิดตัวคอลเลกชันฟิกเกอร์ตัวละครจากนาจา 2 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนสินค้าขายหมดภายในวันเดียว และมียอดสั่งซื้อล่วงหน้าจำนวนมาก ส่งผลให้หุ้นของป๊อปมาร์ทในตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงกระแสความนิยมของภาพยนตร์ที่ส่งผลบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ผู้บริโภคจีนยอมจ่ายเพื่อ ‘ความบันเทิง’
ความสำเร็จของภาพยนตร์นาจา 2 ก็จุดประกายความหวังว่าผู้บริโภคอาจเริ่มกลับมาใช้จ่ายกับความบันเทิงมากขึ้น
ฮโยมิ เจีย ผู้จัดกองทุนจากฟิเดลิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมองว่า ความสำเร็จของ Pop Mart สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวจีนที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าผู้คนจะระมัดระวังในการใช้จ่ายทั่วไปมากขึ้น แต่พวกเขายังคงเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อ "สินค้าที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก" หรือสินค้าที่ตนเองชื่นชอบเป็นพิเศษ
วิกตอเรีย มิโอ นักวิเคราะห์หุ้นจีนและผู้จัดการกองทุน ฮอไรซอน ไชน่า ออพเพอร์ทูนิตีส์ ฟันด์ ซึ่งมีหุ้นจีนกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสัดส่วนการลงทุนที่ใหญ่ที่สุด มองว่าปรากฏการณ์นี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค พร้อมเตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่านี่คือการฟื้นตัวที่แท้จริงของความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ด้านจาง เซียวหยาน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยชิงหัวกล่าวว่า ความสำเร็จของภาพยนตร์นาจา 2 นั้นเป็นมากกว่าแค่ความบันเทิง แต่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวจีน
“การที่ผู้คนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อตั๋วภาพยนตร์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูง แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้ปรากฏการณ์นี้เป็น "สัญญาณสำคัญ" ที่จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของตลาดทุนของจีนอีกครั้ง“
จับตา ‘จีน’ กระตุ้นเศรษฐกิจ
นักลงทุนกำลังจับตามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน จะสามารถแก้ไขปัญหาภาวะเงินฝืดได้มากน้อยแค่ไหน ตั้งแต่การพยุงตลาดหุ้นไปจนถึงการส่งเสริมการบริโภคสินค้า
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนม.ค.จะเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากเทศกาลตรุษจีนที่มาเร็วกว่าปกติ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์แสดงให้เห็นว่ายอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์สื่อสารเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในช่วงวันหยุด ซึ่งเป็นผลจากโครงการสนับสนุนของรัฐบาล ในทางกลับกัน ยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลกลับลดลง 12% ในเดือนมกราคม แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของกำลังซื้อในแต่ละภาคส่วน
จากผลสำรวจแบงก์ออฟอเมริการะหว่างวันที่ 7 ถึง 13 ก.พ.ที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าความต้องการในการใช้จ่ายในอนาคตก็ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางสะท้อนให้เห็นว่า แม้รัฐบาลจีนจะพยายามกระตุ้นการบริโภค แต่ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และเลือกที่จะเก็บเงินมากกว่าใช้จ่าย
การกระตุ้นการบริโภคถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการประชุม Central Economic Work Conference ในเดือนธันวาคม เนื่องจากจีนพยายามส่งเสริมปัจจัยกระตุ้นการเติบโตใหม่ๆ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงในปี 2565 ระหว่างการระบาดของ COVID-19 และไม่สามารถฟื้นตัวได้ เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำและอัตราการว่างงานของเยาวชนที่เพิ่มขึ้น ด้วยความมั่งคั่งที่ลดลงและโอกาสในการหางานที่อ่อนแอ ผู้บริโภคจำนวนมากจึงหันมาใช้จ่ายอย่างประหยัด







