'จีน' ตั้งเป้า GDP ปี 68 โต 5% ท่ามกลาง ‘สงครามการค้า’ เดือด

‘จีน’ ประชุมสองสภา ตั้งเป้าจีดีพีปี 2568 โต 5% ขยายเป้า ‘ขาดดุล’ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมลดเป้าเงินเฟ้อ เปิดแผนออกพันธบัตรเพิ่ม ท่ามกลาง ‘สงครามการค้า’ ดุเดือด
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่าในการประชุมสองสภาของ “จีน” ที่เริ่มต้นเมื่อวานนี้ (4มี.ค.68) โดยจีนตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ปี 2568 ไว้ที่ ”ประมาณ 5%” พร้อมวางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางความตึงเครียดของ “สงครามการค้า” ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นกับสหรัฐ
เพิ่มเป้า ‘ขาดดุล’
จีนได้เพิ่มเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP จาก 3% เมื่อปีที่แล้ว โดย Wind Information ระบุว่าตัวเลขขาดดุล 4% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดเท่าที่มีการบันทึกไว้เมื่อ 2553 โดยก่อนหน้านี้ตัวเลขขาดดุลที่สูงที่สุดอยู่ที่ 3.6% ในปี 2563
ขยับเพดาน ‘เงินเฟ้อ’
จีนยังได้ปรับลดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อประจำปีลงเหลือเพียงประมาณ 2% ตามข้อมูลจากสถาบันนโยบายสังคมเอเชียระบุว่า ตัวเลขนี้ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ หากเทียบกับในหลายปีที่ผ่านมา ที่จะอยู่ที่ระดับ 3% หรือสูงกว่านั้น
เปิดแผนออก ‘พันธบัตร’
รายงานของรัฐบาลยังได้ระบุแผนการออก “พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวพิเศษ” มูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวนในปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 300,000 ล้านหยวน และคาดว่าจะมีการออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษอีกกว่า 500,000 ล้านหยวนเพื่อสนับสนุนธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของรัฐ’
‘สงครามการค้า’ เดือด
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนใหม่ ซึ่งเพิ่มอัตราภาษีเป็น 20% มีผล 4 มี.ค. หลังจากนั้นจีนประกาศขึ้นภาษีสูงสุด 15% กับสินค้าสหรัฐหลายรายการ รวมถึงสินค้าทางการเกษตรอย่างข้าวโพดและถั่วเหลือง โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.นี้
นอกเหนือจากการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจแล้ว จีนยังได้เพิ่มบริษัทของสหรัฐอเมริกาอีก 10 แห่งเข้าสู่รายชื่อนิติบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจส่งผลให้บริษัทเหล่านี้มีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยบริษัทสหรัฐส่วนใหญ่ที่ถูกระบุในครั้งนี้เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมอวกาศ กลาโหม และอุตสาหกรรมโดรน
การประชุมประจำปีครั้งสำคัญที่สุดในจีน หรือ “การประชุมสองสภา” เริ่มต้นในวันอังคารที่ 4 มี.ค. จะเริ่มต้นที่ การประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองจีน (CPPCC) และในวันพุธที่ 5 มี.ค. จะเป็น การประชุมสภาประชาชนจีน (NPC) โดยการประชุมซึ่งจะกินเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ไปจนถึงวันที่ 11 มี.ค. เพื่อวางกรอบนโยบายสำคัญตลอดทั้งปีของจีน
อ้างอิง CNBC