‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เตือนภาษี ’ทรัมป์’ ดันเงินเฟ้อพุ่ง กระทบผู้บริโภค

‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เตือน ’ทรัมป์’ เรียกเก็บภาษนำเข้าสินค้าต่างๆ คือการทำสงครามรูปแบบหนึ่ง เสี่ยง ‘เงินเฟ้อ’ พุ่ง กดดันผู้บริโภคต้องแบกรับราคาสินค้าแพงขึ้น
ซีเอ็นบีซีรายงานว่า “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ผู้บริหารบริษัท Berkshire Hathaway ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยเขาแสดงความกังวลว่าการเก็บภาษีในลักษณะที่เป็นการลงโทษสินค้าต่างๆ นั้นอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วภาระทางการเงินจะตกไปอยู่ที่ผู้บริโภคทั่วไป เนื่องจากราคาสินค้าที่อาจปรับตัวสูงขึ้นตามภาษีที่เพิ่มขึ้น
"เราเคยเจอเรื่องแบบนี้มามากแล้ว ที่จริงแล้วการเก็บภาษีศุลกากรถือเป็นการทำสงครามรูปแบบหนึ่ง" บัฟเฟตต์กล่าว
นอกจากนี้ บัฟเฟตต์กล่าวว่า “หากปล่อยให้เวลาผ่านไป ภาษีเหล่านี้จะกลายเป็นภาษีที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ ไม่มีนางฟ้าฟันคอยจ่ายเงินให้กับบริษัทพวกนี้หรอกนะ!" พร้อมหัวเราะและกล่าวต่อว่า "แล้วผลที่ตามมาล่ะ? นี่เป็นคำถามที่คุณต้องถามตัวเองเสมอในเรื่องเศรษฐศาสตร์ คุณควรจะถามว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร"
บัฟเฟตต์ต้องการสื่อว่าภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากบริษัทนั้น ในที่สุดจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคในรูปแบบของราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยไม่มีใครมาช่วยจ่ายให้
นับเป็นครั้งแรกที่บัฟเฟตต์ ได้แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2025 นี้ พร้อมประกาศเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนในวันเดียวกัน
ย้อนไปในระหว่างการดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ บัฟเฟตต์ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2561 และ 2562 เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้น โดยเขาได้เตือนว่านโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของพรรครีพับลิกันอาจส่งผลกระทบในแง่ลบไปทั่วโลก
บัฟเฟตต์เปลี่ยนกลยุทธ์รับตลาด 'ขาลง'
เมื่อถูกถามถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจในขณะนี้ บัฟเฟตต์ก็หลีกเลี่ยงที่จะให้ความเห็นโดยตรง
“ผมคิดว่านั่นเป็นหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดในโลก แต่ผมไม่อยากจะพูดถึงมันเลย ผมพูดไม่ได้จริงๆ” บัฟเฟตต์กล่าว
ในช่วงปีที่ผ่านมา วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนไปในทิศทางที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยได้ทยอยขายหุ้นในพอร์ตการลงทุนออกอย่างต่อเนื่องและสะสมเงินสดไว้จนเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์
สถานการณ์นี้ทำให้บางฝ่ายมองว่าการปรับตัวในเชิงอนุรักษ์นิยมของบัฟเฟตต์นั้นเป็นสัญญาณเตือนถึงแนวโน้ม “ขาลง” ของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมสำหรับการส่งมอบบริษัทให้กับผู้สืบทอดในอนาคต ด้วยการปรับลดความซับซ้อนของพอร์ตการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับองค์กร
อ้างอิง CNBC







