‘จีน’ เปิดประชุมใหญ่ 2 สภาพรุ่งนี้ จับตาแผนตั้งรับทรัมป์ 2.0

‘จีน’ เปิดประชุมใหญ่ 2 สภาพรุ่งนี้ จับตาแผนตั้งรับทรัมป์ 2.0

จีนเตรียมเปิดม่าน 'การประชุมสองสภา' วันพรุ่งนี้ โลกจับตานโยบายยุคสงครามการค้า 2.0 ร้อนระอุ คาดการเงิน-การคลังผ่อนคลายเต็มที่ เปิดทางก่อหนี้เพิ่มกระตุ้นการบริโภค

ในวันพรุ่งนี้ (4 มี.ค.) จะเป็นวันเริ่มต้นเปิดฉากการประชุมประจำปีครั้งสำคัญที่สุดในจีน หรือ “การประชุมสองสภา” โดยในวันอังคารที่ 4 มี.ค. จะเริ่มต้นที่ การประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองจีน (CPPCC) และในวันพุธที่ 5 มี.ค. จะเป็น การประชุมสภาประชาชนจีน (NPC) โดยการประชุมซึ่งจะกินเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จะเป็นการวางกรอบนโยบายสำคัญตลอดทั้งปีของจีน

ในปี 2025 นี้ จะเป็นปีที่ทั่วโลกจับตาการประชุมของจีนมากเป็นพิเศษ เพราะอยู่ในช่วงของ “สงครามการค้า 2.0” กับรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่กำลังทวีความดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ และจีนเองก็มีปัญหาใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งแต่ “วิกฤติหนี้” ไปจนถึง“วิกฤตการณ์อสังหาริมทรัพย์” ซึ่งทำให้เศรษฐกิจจีนแทบไม่เคยโตเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้เลยในช่วง 10 ปีมานี้ ซ้ำร้ายยังหลุดเป้าไปไกลเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา

บรรดานักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในหลายด้าน เช่น มีโอกาสสูงที่จีนจะปรับลด “เป้าหมายเงินเฟ้อ” ลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างเป็นทางการสำหรับการบริโภคภายในจีน, การเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินไปสู่ “นโยบายเชิงผ่อนคลาย”, การแถลงของนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ในวันที่ 5 มี.ค. ที่จะวางกรอบ “การกระตุ้นเศรษฐกิจหลักๆ ในปีนี้” ไปจนถึงสัญญาณอื่นๆ ที่รัฐบาลปักกิ่งจะเปิดเผยออกมา

คงเป้าจีดีพีเดิมที่ประมาณ 5%

หลิน ซ่ง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านจีนของธนาคารไอเอ็นจี คาดการณ์ว่า ปักกิ่งจะยังคงเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เอาไว้เท่าเดิมที่ประมาณ 5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการประกาศถึง “ความมั่นใจ” ว่าจีนจะบรรลุเป้าหมายการเติบโตได้ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่รุนแรงขึ้นก็ตาม

ที่ผ่านมารัฐบาลปักกิ่งให้ความสำคัญอย่างมากต่อการบรรลุเป้าหมายจีดีพี และนับตั้งแต่การเปิดประเทศปฏิรูปเศรษฐกิจในปี 1978 จีนเคยพลาดเป้าจีดีพีไปเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือในปี 1990 หรือหนึ่งปีหลังเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมิน และปี 2022 ในช่วงการล็อกดาวน์โควิด การตั้งเป้าจีดีพีของจีนแต่ละครั้งยังมาพร้อมกับการสนับสนุนทางนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่เข้มแข็ง ดังนั้นเป้าหมาย 5% ในภาวะที่ท้าทายเช่นนี้ จึงบ่งบอกนัยยะถึงการกระตุ้นที่จะมาพร้อมกันด้วย

‘จีน’ เปิดประชุมใหญ่ 2 สภาพรุ่งนี้ จับตาแผนตั้งรับทรัมป์ 2.0
 

ลดเป้าเงินเฟ้อต่ำสุดรอบ 20 ปี เร่งเครื่องการบริโภค

สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักเห็นตรงกันก็คือ “การบริโภคในประเทศ” จะยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สุดอันดับต้นๆ ของจีนในปีนี้

สถาบันนโยบายสังคมเอเชีย (Asia Society Policy Institute) คาดการณ์ว่า จีนอาจปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อรายปีลงสู่ระดับ 2% ซึ่งจะเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 20 ปี จากปัจจุบันที่ 3% ซึ่งเป็นระดับที่จีนใช้ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และอาจเป็นการยอมรับโดยนัยว่า อุปสงค์ภายในประเทศจีนอ่อนแอลง

แลร์รี หู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากบริษัทแมคควอรี กล่าวว่า เป้าหมายเงินเฟ้อใหม่จะทำหน้าที่เป็นเพดานมากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายที่จีนต้องบรรลุ ซึ่งจีนอยู่ภายใต้แรงกดดันด้านเงินฝืดในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยในปี 2024 และ 2023 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% เท่านั้น ในขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตก็ปรับตัวลงมานานกว่า 2 ปีแล้วเช่นกัน

ขณะที่ไอเอ็นจีคาดว่า จีนอาจปรับเป้าเงินเฟ้อลงมาอยู่ที่ประมาณ 2% แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในยามที่ทุกคนรู้ดีว่าจีนกำลังอยู่ในแรงกดดันเงินฝืด สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ มาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงิน โดยในปีนี้ ภาพรวมของอุปสงค์ภายนอกมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงท่ามกลางการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหากจีนต้องการรักษาการเติบโตที่มั่นคงในปีนี้ อุปสงค์ในประเทศจะต้องเพิ่มขึ้น

‘จีน’ เปิดประชุมใหญ่ 2 สภาพรุ่งนี้ จับตาแผนตั้งรับทรัมป์ 2.0

ใช้การคลังเชิงรุก ขยายขาดดุลเป็น 4%

ไอเอ็นจีระบุว่า “นโยบายการคลังเชิงรุก” เป็นคำที่จีนใช้มาหลายปีแล้ว แม้ว่าภาษาที่ใช้เรียกจะเปลี่ยนแปลงไปทุกปีก็ตาม ปีนี้คาดว่า นโยบายการคลังจะเป็นในโทนเชิงบวกโดยอาจเห็นเป้าหมายการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น พร้อมเป้าหมายการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นที่สูงขึ้นเช่นกัน

แลร์รี หู เห็นพ้องในเรื่องนี้โดยคาดการณ์ว่า จีนอาจขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณเอาไว้ที่ 4% ของจีดีพี จาก 3% ในปีที่แล้ว ซึ่งจะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากจีนพยายามคุมตัวเลขไม่ให้เกิน 3% มาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หูยังคาดว่าจีนจะเพิ่มโควตาการขายพันธบัตรรัฐบาลพิเศษ “เป็น 3 เท่า” สู่ระดับ 3 ล้านล้านหยวน (ราว 14 ล้านล้านบาท) และเพิ่มโควตาการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นพิเศษเป็น 4.5 ล้านล้านหยวน จากประมาณ 3.9 ล้านล้านหยวนในปีที่แล้ว

เปลี่ยนสู่ ‘นโยบายการเงินผ่อนปรน’

ในแง่ของนโยบายการเงิน ไอเอ็นจีคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยแถลงที่สำคัญในปีนี้จาก “นโยบายการเงินที่รอบคอบ” เป็น “นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนปานกลาง” ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2011

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ หรือ RRR ในปีนี้มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ย Repo อายุ 7 วันจะลดลง 30bp และ RRR จะลดลง 100bp ในปีนี้ และการปรับลดครั้งแรกอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในเดือนมี.ค.

ล่าสุด สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างถ้อยแถลงของ "พาน กงเซิ่ง" ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ซึ่งมีบริษัทเอกชนขนาดใหญ่หลายราย อาทิ Geely และ SenseTime เข้าร่วมด้วยว่า แบงก์ชาติจีนจะช่วยควบคุมต้นทุนกู้ยืมในระดับต่ำให้กับบริษัทเอกชน ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนที่ต้องการให้ภาคเอกชนขึ้นมามีบทบาทมากขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้พบกับแจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba Group Holding Ltd. ต่อหน้าสาธารณชนเมื่อเดือนที่แล้ว และนับเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกครั้งใหญ่ต่อภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีในจีน 

ผู้ว่าการ PBOC ระบุว่า ตราบใดที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในจีนยังไม่รุนแรง ต้นทุนทางการเงินของบริษัทเอกชนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าจีนจะดำเนินการนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปานกลางและรักษาสภาพคล่องในตลาดให้เพียงพอ โดยในการประชุมวันที่ 28 ก.พ. หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของจีนให้คำมั่นว่าจะเพิ่มสินเชื่อให้กับบริษัทเอกชนและบริษัทขนาดเล็กโดยส่งเสริมและกระจายช่องทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร และเงินกู้ให้มากขึ้น