3 ความท้าทายธุรกิจใน ‘ยุคทอง’ เอเชีย เกิดต่ำกว่าตาย กีดกันการค้า AI หิวพลังงาน

เหล่าซีอีโอมองปัญหา เกิดต่ำกว่าตาย กีดกันการค้าและ AI หิวพลังงาน
3 ความท้าทายที่ต้องตั้งรับ เพื่อคว้าโอกาส ‘ยุคทอง’ ของ ‘เอเชีย’
ในการประชุมฟอรัมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอสเมื่อเดือนม.ค. ผู้บริหารธุรกิจจาก “เอเชีย” ต่างพูดถึงปัจจัยสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิภาคนี้ ทั้งการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของสหรัฐ สงครามการค้าระหว่างประเทศ สตาร์ทอัพจีนที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI รวมถึงสภาพภูมิอากาศที่หลายประเทศในเอเชียรายงานว่าปี พ.ศ. 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์
เว็บไซต์ฟอร์จูนรายงายว่า ซีอีโอหลายคนมองว่าศตวรรษที่ 21 นี้ จะเป็น “ยุคทอง” ของเอเชีย ซึ่งจะนำมาซึ่งโอกาสและผลตอบแทนมหาศาล แต่ทว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้กับผู้ที่เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น โดยเหล่าซีอีโอมองว่ามี 3 ความท้าทายสำคัญที่จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้
เกิดต่ำกว่าตาย ฉุดรั้ง GDP เอเชียที่กำลังโต
เศรษฐกิจเอเชียเติบโตเร็วมาก จนมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2543 เป็น 37% ในปัจจุบัน ถ้าเศรษฐกิจเอเชียยังโตแบบนี้ต่อไป คาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มเป็น 43% ในปี 2583 มีแนวโน้มว่า เอเชียกำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเศรษฐกิจโลก และทำให้เกิดเส้นทางการค้าใหม่ๆ ขึ้นมากมาย เช่น การค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอเมริกา จีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และญี่ปุ่นกับอินเดีย
นอกจากนี้ ในเอเชียมีกลุ่มคนรายได้ปานกลางและรายได้สูง (รายได้ครัวเรือนมากกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อปี) มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูง ซึ่งการเพิ่มขึ้นของคนกลุ่มนี้ จะทำให้ธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการให้ผู้บริโภคเติบโตอย่างมาก
แต่ทว่าเอเชียกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่กลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ด้าน “ประชากรศาสตร์” เนื่องจากประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น แต่อัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจาก McKinsey Global Institute ระบุว่า ปัจจุบันประชากรสองในสามของโลกอาศัยอยู่ในประเทศที่อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าอัตราการเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก ด้วยแนวโน้มนี้ทำให้รายงานคาดการณ์ว่าประชากรญี่ปุ่นอาจลดลงมากกว่า 30% ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ขณะเดียวกันประชากรจีนอาจลดลงอย่างมากถึง 50% ภายในปี พ.ศ. 2643
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ในเอเชียกำลังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ผู้บริหารและผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพในประเทศที่มีประชากรลดลง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กำลังมองหาโอกาสในตลาดต่างประเทศที่มีประชากรเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ผู้นำในประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน ซึ่งมีจำนวนแรงงานลดลง ต้องมองหาโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีอื่นๆ
การค้าระหว่าง ‘ใต้-ใต้’
การค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “การค้าระหว่างใต้-ใต้” กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจในเอเชียจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากขึ้นเพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจ
คำถามสำคัญคือ ธุรกิจต่างๆ จะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างไร ท่ามกลางกระแสการกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรง
หนึ่งในจุดแข็งของประเทศในเอเชียคือความสามารถในการกระจายความเสี่ยงทางการค้า โดยการส่งออกสินค้าไปยังทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตะวันตก
ในปัจจุบัน การค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันเอง (การค้าแบบใต้สู่ใต้) มีสัดส่วนถึง 20% ของการค้าโลก และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ในช่วงปี 2562 ถึง 2566 การค้าระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย บราซิล และอินเดีย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 15%, 12.1% และ 11.4% ตามลำดับ นอกจากนี้ การค้าของจีนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็มีอัตราการเติบโตในระดับที่น่าสนใจเช่นกัน
หากเอเชียสามารถกระจายความเสี่ยงทางการค้าได้ โดยส่งออกสินค้าไปยังทั้งประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตะวันตก ทำให้บริษัทในเอเชียมีโอกาสที่จะขยายฐานการผลิตไปสู่ระดับโลกได้
AI เริ่มหิวพลังงาน
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในปีนี้
โดย AI เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับผู้บริหารธุรกิจในเอเชีย ขณะนี้บริษัททั่วโลกต่างลงทุนอย่างมากในการใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านบริการลูกค้า การขาย และเทคโนโลยีสารสนเทศ
AI ต้องการพลังงาน “มหาศาล” เพราะศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจหลักของ AI ต้องใช้พลังงานตลอดเวลา ซึ่งคาดว่าจะใช้พลังงานถึง 5% ของการผลิตพลังงานทั้งหมดในยุโรปภายในปี 2573 และคาดว่ารูปแบบการใช้พลังงานในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ ก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
AI ต้องการพลังงานเยอะมาก ทำให้เกิดคำถามว่ามันจะยิ่งทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมแย่ลงไปอีกหรือไม่ หรือว่า AI จะช่วยสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม
สุดท้ายแล้ว เหล่าซีอีโอในเอเชียจะต้องตั้งรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น เพราะข่าวสารจะไหลบ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อรูปแบบการทำธุรกิจ ทำให้ต้องมีความสามารถในการปรับตัวและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว







