ภาษี ‘ทรัมป์’ กดดันโอกาสทำกำไร ‘แบงก์’ ใหญ่เอเชียรวม ‘ไทย’

ภาษี ‘ทรัมป์’ เพิ่มความเสี่ยงต้นทุนสินเชื่อสูงขึ้น กระทบการปล่อยกู้ กดดันโอกาสทำกำไร ‘แบงก์’ ใหญ่ในเอเชียรวม ‘ไทย’
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานว่า ธนาคารใหญ่หลายแห่งใน "เอเชีย" กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน หลังจากประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับแนวโน้มรายได้ ท่ามกลางสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ อาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น กดดันอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเป็นเวลานาน
การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้วเป็น "อุปสรรค" ต่อธนาคารกลางของสิงคโปร์ทั้ง 3 แห่ง
อย่างไรก็ดีเฟดได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่รีบเร่งผ่อนคลายนโยบายต่อไป โดยยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าธนาคารทั้ง 3 แห่งของสิงคโปร์มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้
3 แบงก์ใหญ่ทำกำไรนิวไฮ
ธนาคาร OCBC (Oversea-Chinese Banking Corp) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนตามมูลค่าสินทรัพย์ ได้รายงานผลกำไรสุทธิประจำไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ.2567 อยู่ที่ 1.69 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 4.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%จากปีก่อน ซึ่งมีกำไรตลอดทั้งปีเป็นสถิติสูงสุดที่ 7.59 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 2.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ธนาคารขนาดใหญ่อีกสองแห่งของสิงคโปร์ ได้แก่ ธนาคาร DBS Group Holdings และธนาคาร UOB ก็รายงานผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมาเช่นกัน เพิ่มขึ้น 11% และ 6% ตามลำดับ โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และบริการอื่นๆ
ลี ไว ไฟ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของธนาคารยูโอบี กล่าวในการแถลงข่าวผลประกอบการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดการณ์ว่าเฟดจะไม่ใช้นโยบายที่เข้มงวดเหมือนในอดีตสำหรับปีนี้ ซึ่งทุกคนกำลังรอดูนโยบายล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกขับเคลื่อนโดยภาวะเงินเฟ้อ ทำให้อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป
ความเสี่ยงนโยบาย ‘ทรัมป์’
เหล่าธนาคารต่างๆ ยังคงตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ที่ได้ประกาศเมื่อต้นเดือนนี้ว่า อาจจะมีการกำหนดมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ซึ่งสร้างความกังวลว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจเติบโตช้าลง เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าโลกที่อาจรุนแรงขึ้น
ผลที่ตามมาคือ ทั้งการกู้ยืม และการปล่อยกู้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจได้รับผลกระทบในทางลบ
เฮเลน หว่อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร OCBC คาดการณ์ว่ารัฐบาลของทรัมป์จะหยิบยกประเด็นเรื่องภาษีศุลกากรขึ้นมาอีกครั้ง และเรากำลังพูดถึงความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงมากขึ้นพร้อมเสริมว่าสิ่งนี้อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม
ธนาคาร OCBC คาดการณ์ว่าในปีนี้ การเติบโตของสินเชื่อจะลดลงมาอยู่ที่ "ตัวเลขเดียวระดับกลาง" ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับการเติบโตที่ 8% ในปี 2567
‘สงครามการค้า’ เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจ
ฝ่ายวิจัยของ FTSE Russell เผยในรายงานเดือนก.พ.ว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐ ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงต่อการส่งออกสูง เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย
ยิ่งไปกว่านั้น อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงทำให้ผู้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น ซึ่งเป็นภาระหนักขึ้น โดยนักวิเคราะห์มองว่าเรื่องนี้จะกระทบกับลูกค้ารายย่อย และบริษัทต่างๆ ที่กู้เงินไป โดยตรง
ฟิทช์ เรทติ้งส์ เตือนในรายงานเดือนม.ค.ว่าธนาคารต่างๆ ในอาเซียนกำลังเผชิญกับ 'ความเสี่ยงที่แตกต่างกัน' โดยมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆ คือ การที่สหรัฐอาจขึ้นภาษี และอัตราเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้น
- ไทย
CreditSights บริษัทวิเคราะห์ และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดการเงิน ได้เน้นย้ำในรายงานประจำเดือนมกราคมว่าแม้ธนาคารกสิกรไทย และ SCBX จะมีการปรับปรุงบางอย่างแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อหรือต้นทุนสินเชื่อของทั้งสองธนาคารก็ 'ยังสูงอยู่' ในปีงบประมาณ 2567
- อินโดนีเซีย
รายงานวิจัยด้านการเงินของ Galliano ประจำเดือนกุมภาพันธ์ เกี่ยวกับอินโดนีเซียได้ระบุว่า ธนาคารที่มีความเสี่ยงสูงในการปล่อยกู้ให้กับผู้บริโภครายย่อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำเป็นต้องเพิ่มเงินในการตั้งสำรอง ซึ่ง Bank Mega เป็นธนาคารที่มีความเสี่ยงด้านสินเชื่อมากที่สุด ขณะที่ Bank Rakyat Indonesia มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่แย่ที่สุด โดยมีสัดส่วนหนี้ที่ค้างชำระอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
อ้างอิง Nikkei
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







