จริงหรือ? ‘DOGE’ ช่วยสหรัฐประหยัดงบ 1.8 ล้านล้านบาท

‘กระทรวง DOGE’ ของอีลอน มัสก์ กำลังเผชิญกระแสวิจารณ์อย่างหนัก หลังจากไล่เจ้าหน้าที่รัฐออกจำนวนมาก รวมถึงอ้างการประหยัดงบสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท แต่จากการวิเคราะห์กลับพบว่า ยอดประหยัดที่ประกาศไว้นี้ ‘สูงเกินจริง’ และอาจกระทบต่อคุณภาพบริการสาธารณะของรัฐด้วย
KEY
POINTS
- กระทรวง DOGE ยังไม่ได้ผ่านสภาคองเกรส แต่อาศัยคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีตั้งขึ้นมา
- ในหลายกรณีที่ DOGE อ้างว่าช่วยประหยัดงบได้สูงนั้น ค่อนข้างเป็นตัวเลข “เกินจริง”
- เมื่อเดอะเจอร์นัลและสื่ออื่นๆ ท้วงติงข้อผิดพลาด เว็บไซต์ DOGE ก็ทำการปรับลดยอดประหยัดนี้จาก 16,000 ล้านดอลลาร์ ลงเหลือ 7,000 ล้านดอลลาร์แทน
หากเอ่ยถึงอาชีพที่ดูมั่นคงที่สุดอย่างรับราชการ อาจไม่ใช่แล้วในสหรัฐ เมื่ออีลอน มัสก์ หัวหน้ากระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือเรียกโดยย่อว่า “กระทรวง DOGE” เข้าไปรื้อระบบราชการครั้งใหญ่ ปลดข้าราชการออกจำนวนมาก พร้อมส่งอีเมลถึงเจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่าง ๆ ให้อธิบายว่า ที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง ถ้าไม่ตอบกลับก็ถือว่าลาออก ซึ่งค่อนข้างเป็นการ “ข้ามหัว” รัฐมนตรีของแต่ละกระทรวง
อันที่จริงแล้ว กระทรวง DOGE ยังไม่ได้ผ่านสภาคองเกรส แต่อาศัยคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีตั้งขึ้นมา จนหลายคนตั้งคำถามว่า การใช้อำนาจของ Doge ราวกับว่าอยู่เหนือกระทรวงจริง เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ที่ผ่านมา Doge ปลดเจ้าหน้าที่รัฐไปมากมายหลายพันคน รวมถึงยกเลิกสัญญาจ้างที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายในองค์กร (DEI) และโลกร้อน โดยกล่าวว่าช่วยประหยัดงบประมาณสหรัฐสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 1.8 ล้านล้านบาท คำกล่าวนี้เป็นจริงมากน้อยเพียงใด
จากบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลพบว่า การตัดงบด้าน “Woke” นั้น คิดเป็นเพียงสัดส่วนเล็กน้อยของยอดรวม โดยงบที่ Doge เน้นตัดทิ้งเป็นส่วนใหญ่กลับเป็นงบวิจัย งบศึกษาธิการและสาธารณสุข อีกทั้งหลายกรณีที่ Doge อ้างว่าช่วยประหยัดงบได้สูงนั้น ค่อนข้างเป็นตัวเลข “เกินจริง”
- มัสก์โชว์เลื่อยยนต์หั่นงบราชการสหรัฐ (เครดิต: Reuters) -
แม้ว่ากระทรวง DOGE ไม่ได้ให้รายละเอียดการประหยัดงบทั้งหมดที่กล่าว แต่ได้เผยแพร่รายการสัญญาที่ถูกยกเลิกมากกว่า 1,100 ฉบับบนเว็บไซต์ของตน โดยระบุเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า การยกเลิกสัญญาเหล่านี้ ช่วยประหยัดงบประมาณได้ราว 7,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 2.3 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลคาดการณ์ว่า หากระดับการใช้จ่ายยังคงเดิม “การประหยัดงบตามจริง” อาจอยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านดอลลาร์หรือราว 87,000 ล้านบาทในปีหน้า และมีเพียงราว 2% ของเงินจำนวนนี้ที่เกี่ยวข้องกับสัญญาด้าน DEI
มุ่งตัดลดงบวิจัย ศึกษาธิการและสาธารณสุข
สำหรับหน่วยงานที่มัสก์พุ่งเป้าตัดลดงบประมาณมากที่สุด ได้แก่ หน่วยงานที่มุ่งเน้นการวิจัย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ ซึ่งถูก DOGE ยกเลิกสัญญารวมกันกว่า 900 ล้านดอลลาร์
ที่ผ่านมา DOGE ยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวกับกระทรวงสาธารณสุขมากกว่า 60 ฉบับ ซึ่งรวมตั้งแต่การประเมินผลทางคลินิกของยารักษาโรคอัลไซเมอร์และอาการบาดเจ็บทางสมองรุนแรง รวมถึงโครงการศึกษาผู้สูบบุหรี่ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง
แม้ว่าโครงการเหล่านี้มีความสำคัญ แต่ DOGE กลับจัดให้ไปอยู่ในกลุ่ม “ค่าใช้จ่ายในการบริหาร” ซึ่งเสี่ยงตกไปอยู่ในมาตรการเพื่อลดต้นทุน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่บริหารรายหนึ่งชี้แจงว่า สัญญาหลายฉบับที่ถูกยกเลิกก็เพราะถูกใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและมีการทุจริตขึ้น พร้อมชี้ว่าการตัดงบดังกล่าวเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล อีกทั้งกล่าวว่าไม่ได้ยกเลิกเงินทุนสำหรับโรคอัลไซเมอร์
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ สัญญาหลายฉบับที่ถูกยกเลิกนั้น เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้านค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย เส้นทางอาชีพนักศึกษา และการพัฒนาเด็กปฐมวัย
DOGE อธิบายว่า การยกเลิกสัญญามูลค่า 1.4 ล้านดอลลาร์ เพราะเป็นค่าใช้จ่ายด้านงานส่งเอกสารและธุรการทั่วไป แต่จริงๆ แล้ว สัญญานี้ใช้ส่งแบบสอบถามให้คนทำวิจัย ซึ่งทำเกือบเสร็จแล้วตอนที่ยกเลิก นั่นหมายความว่า การยกเลิกสัญญาครั้งนี้ไม่ได้ช่วยประหยัดเงินจริงๆ เพราะงานส่วนใหญ่เสร็จไปแล้ว
ยอดประหยัดที่ Doge แสดง ‘สูงเกินจริง’
เพื่อประเมินผลกระทบจากการตัดงบ เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลได้วิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายของรัฐบาลจาก “Deltek” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดย Deltek ได้จับคู่สัญญาที่ถูกยกเลิกตามที่ DOGE ระบุไว้ พร้อมกับตัวต้นทุนจริงในปีงบประมาณ 2024
สำหรับการจัดประเภทของสัญญา เดอะเจอร์นัลได้ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขาย กลุ่มอุตสาหกรรม และคีย์เวิร์ดสำคัญอย่าง “ความหลากหลาย” และ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
ตอนที่ DOGE เผยแพร่ “รายการใบเสร็จ” (Wall of Receipts) บนเว็บไซต์ DOGE เพื่อแสดงความโปร่งใส ซึ่งเป็นสัญญาจำนวน 1,127 ฉบับ แต่เมื่อเดอะเจอร์นัลและสื่ออื่นๆ ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเลขดังกล่าว และท้วงติงข้อผิดพลาด เว็บไซต์ DOGE ก็ทำการปรับลดยอดประหยัดนี้จาก 16,000 ล้านดอลลาร์ ลงเหลือ 7,000 ล้านดอลลาร์แทน อีกทั้งสัญญาสองฉบับยังได้หายไปจากเว็บไซต์ในวันพฤหัสบดี เนื่องจาก DOGE นับสัญญามูลค่า 665 ล้านดอลลาร์จาก USAID ซ้ำสามครั้ง ตามที่เดอะเจอร์นัลตรวจพบ
แม้ว่า DOGE ปรับแก้ตัวเลขแล้ว แต่ยอดประหยัดที่แสดงบนเว็บ “ยังคงสูงเกินจริง” ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอกกับเดอะเจอร์นัล โดยจำนวนสัญญาของหน่วยงานมักจะคล้ายกับวงเงินบัตรเครดิต ดังที่เดนิซ ปีเตอร์สัน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ตลาดงานภาครัฐที่ Deltek กล่าว
ปีเตอร์สันยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายว่า “ถ้าฉันมีบัตรเครดิตวงเงิน 30,000 ดอลลาร์ และมียอดค้างชำระ 2,000 ดอลลาร์ การที่ฉันยกเลิกบัตรเครดิตนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยประหยัดเงิน 28,000 ดอลลาร์” เธอกล่าว “นี่คือสิ่งที่ฉันเห็นในหลายๆ การทำธุรกรรมเหล่านี้ว่าไม่ใช่การประหยัด”
ไม่เพียงเท่านั้น สัญญากว่า 50 ฉบับที่ปรากฏบนเว็บ DOGE ระบุจำนวนการประหยัดเกือบทั้งหมดจาก “วงเงินสูงสุด” ซึ่งแนท มัลคัส นักวิจัยอาวุโสจาก American Enterprise Institute ให้ความเห็นว่า “ยอดรวมที่ DOGE นำเสนอเป็นใบเสร็จบนเว็บไซต์ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องในการเตรียมใบเสร็จเหล่านี้ และสิ่งที่จริงๆ บันทึกไว้”
เดอะเจอร์นัลยังพบอีกว่า กว่า 1 ใน 4 ของสัญญาที่ปรากฏบนเว็บ DOGE จริงๆ แล้วได้รับการชำระเงินไปแล้ว และไม่ได้สร้างการประหยัดใดๆ ตัวอย่างเช่น DOGE ระบุการประหยัดเงิน 168,000 ดอลลาร์หรือราว 5.6 ล้านบาท จากการยกเลิกสัญญากับกระทรวงสาธารณสุข สำหรับนิทรรศการของหมอแอนโทนี เฟาซี ซึ่งตามจริง ได้รับการชำระเงินไปทั้งหมดแล้ว
แม้แต่พนักงาน DOGE ก็ลาออก
นอกจากนี้ สำนักข่าว AP ยังรายงานว่า พนักงานกว่า 20 คนได้ยื่นลาออกจากกระทรวง DOGE เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่ต้องการใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคของตน ในการรื้อบริการสาธารณะที่สำคัญทิ้ง
“พวกเราให้คำมั่นว่า จะรับใช้ประชาชนชาวอเมริกันและรักษาคำสาบานต่อรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม นี่ชัดเจนแล้วว่า พวกเราไม่สามารถรักษาพันธสัญญานั้นได้อีกต่อไป” พนักงานทั้ง 21 คนระบุในจดหมายลาออกร่วมกัน ซึ่งสำนักข่าว AP ได้รับสำเนามา
พนักงานที่ลาออกนี้ยังเตือนว่า หลายคนที่มัสก์ดึงตัวมาช่วยงาน DOGE เป็นพวกที่มีแนวคิดการเมืองสุดโต่ง รวมถึงขาดทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นต่อภารกิจนี้
ที่ผ่านมา การลดจำนวนข้าราชการของมัสก์ที่ควรทำอย่างรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป กลับเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นแทน ตาม “เกณฑ์แบบมัสก์” ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาจากสภา จนจุดกระแสความไม่พอใจขึ้นอย่างกว้างขวาง และนำไปสู่การฟ้องร้องหลายคดี
ขณะเดียวกัน สาธารณชนก็ต่างตั้งคำถามถึงมัสก์ เกี่ยวกับการใช้อำนาจที่ดูราวกับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเอง อีกทั้งประสบการณ์ของมัสก์ที่เติบโตมากับด้านเทคโนโลยี เพียงพอหรือไม่ในการใช้ตัดสินว่า ใครควรอยู่หรือใครควรไปในกระทรวงต่าง ๆ ทั้งที่อำนาจในการตัดสินใจนี้ ควรเป็นของรัฐมนตรีที่มีความเข้าใจในรายละเอียดของแต่ละกระทรวง
อ้างอิง: wsj, ap, independent, DOGE