ทำไม ‘พรรคขวาจัด’ อย่าง AfD เริ่มได้รับความนิยมในเยอรมนี ?

ทำไม ‘พรรคการเมืองแบบขวาจัด’ อย่าง AfD เริ่มได้รับความนิยม จากคนรุ่นใหม่มากขึ้นในเยอรมนี ?
การเลือกตั้งของประเทศเยอรมนี ที่ผ่านมาย้ำให้ทั้งโลกเห็นว่า “กระแสการเมืองแบบขวา-อนุรักษนิยม” กำลังเบ่งบานไม่เพียงแต่ในสหรัฐอเมริกา แต่ยังรวมไปถึงประเทศเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในสหภาพยุโรปอย่างประเทศด้วย
ผลการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ.68 ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากระแสขวาจัดในเยอรมนีมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยพรรคขวาจัด AfD ได้รับคะแนนเสียงสูงถึง 20.8% เป็นอันดับสองรองจากพรรคขวากลางอย่าง CDU/CSU ซึ่งได้ 28.6% และมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อน โดยเพิ่มขึ้นถึง 10.4%
หากไปดูระดับที่ย่อยลงมา ในรัฐทูรินเจีย (Thuringia) AfD ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 38% เกือบเป็นสองเท่าของคะแนนที่ CDU ได้รับ และในหลายเขตเลือกตั้งในเยอรมนีตะวันออก AfD ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 30% ซึ่งนักวิชาการส่วนหนึ่งมองว่า เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพรรคขวาจัดในเยอรมนี นับตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 และยังเป็นการเลือกตั้งที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึง 83.5% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่การรวมประเทศในปี 1990
ในขณะที่ฝั่งของรัฐบาลผสมสามฝ่ายภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนปัจุบัน โอลาฟ ชอลซ์ ซึ่งประกอบด้วยพรรคกลุ่มกลางค่อนไปทางซ้ายอย่าง SPD, Greens และ FDP ก็ประสบปัญหาความขัดแย้งภายใน และความนิยมที่ลดลงอย่างมาก โดยฝ่ายซ้ายกลาง SPD ได้รับคะแนนเสียงเพียง 16.4% ลดลง 9.3% จากการเลือกตั้งครั้งก่อนซึ่งเป็นการสูญเสียคะแนนเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่พรรคซึ่งเน้นนโยบายสิ่งแวดล้อม และความเท่าเทียมทางสังคมอย่าง Greens ได้ 11.6% ลดลง 3.1% และฝ่ายกลางซึ่งสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม และเสรีภาพส่วนบุคคล FDP ได้เพียง 4.3% ลดลง 7.1% จนไม่สามารถเข้าสู่สภาได้เนื่องจากไม่ผ่านเกณฑ์ 5%
ทั้งนี้ การเติบโตของกระแสการเมืองฝ่ายขวาในเยอรมนี โดยเฉพาะความสำเร็จของพรรค AfD ที่ได้รับคะแนนเสียงมากถึง 20.8% ในการเลือกตั้งปี 2025 เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่เชื่อมโยงกัน ดังนี้
1. ความท้าทายทางเศรษฐกิจ และความไม่พอใจทางสังคม
เยอรมนีกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่องกว่าสองปี โดยเศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 0.3 ในปี 2023 และเติบโตเพียงเล็กน้อยในปี 2024 สถานการณ์นี้ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และหันไปสนับสนุนพรรคที่เสนอทางเลือกนอกกระแสหลัก โดยเฉพาะในภูมิภาคเยอรมนีตะวันออกที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่การรวมประเทศ
เยอรมนียังประสบปัญหาด้านภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ เนื่องจาก ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นหลังจากการยุติการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย, การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน และประเทศอื่นๆ, โครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย และการดิจิทัลที่ไม่ทันโลก
2. วิกฤติผู้อพยพ และความกังวลด้านวัฒนธรรม
วิกฤติผู้อพยพในยุโรปตั้งแต่ปี 2015 ที่เยอรมนีรับผู้ลี้ภัยกว่า 1 ล้านคนภายใต้นโยบายของนายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล ได้กลายเป็นประเด็นที่แบ่งแยกสังคมอย่างมาก โดยมีการจัดตั้งพรรค AfD เพื่อตอบโต้นโยบายนี้โดยเฉพาะ พรรคนี้ได้ใช้ประเด็นเรื่องการเข้าเมืองเป็นหัวใจสำคัญในการหาเสียง โดยเสนอนโยบาย "การย้ายกลับ" (remigration) ที่มุ่งส่งผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง
3. ความล้มเหลวของรัฐบาลผสม และพรรคการเมืองกระแสหลัก
รัฐบาลผสมสามฝ่าย (Traffic Light Coalition) ของนายกรัฐมนตรี ชอลซ์ที่ประกอบด้วยพรรค SPD, Greens และ FDP ประสบปัญหาความขัดแย้งภายใน และไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศได้ ส่งผลให้ความนิยมลดลงอย่างมาก สะท้อนจากผลการเลือกตั้งที่พรรค SPD สูญเสียคะแนนเสียงถึง 9.3% พรรค Greens สูญเสีย 3.1% และ FDP สูญเสีย 7.1% จนไม่สามารถเข้าสู่สภาได้
นอกจากนี้ ตามที่นักวิเคราะห์จาก University of Oxford ระบุ พรรคการเมืองกระแสหลักทั้งฝ่ายซ้าย และขวาได้หันมาใช้วาทกรรมต่อต้านการเข้าเมืองมากขึ้น ซึ่งเป็นการทำให้จุดยืนของพรรคขวาจัดดูเป็นเรื่องปกติ และมีความชอบธรรมในสายตาประชาชน การที่พรรค CDU/CSU พยายามผ่านกฎหมายด้วยการสนับสนุนของ AfD ในสภาเมื่อไม่นานมานี้ก็ยิ่งเปิดประตูให้พรรคขวาจัดเข้ามามีบทบาทในการเมืองกระแสหลักมากขึ้น
4. การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ และการแบ่งแยกระหว่างตะวันออกและตะวันตก
ข้อมูลจาก DW แสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อย (18-24 ปี) มีแนวโน้มลงคะแนนให้พรรคฝ่ายขวา (AfD) และพรรคฝ่ายซ้ายจัด (Left Party) มากกว่า ในขณะที่พรรคดั้งเดิมอย่าง SPD และ CDU ได้รับคะแนนเสียงน้อยลงจากคนรุ่นใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อการเมืองกระแสหลัก
นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างภูมิภาคตะวันออก และตะวันตกของเยอรมนี โดย AfD ได้รับความนิยมสูงมากในภูมิภาคตะวันออก เช่น ในรัฐทูรินเจีย ได้รับคะแนนเสียงกว่า 38% ซึ่งสูงกว่าคะแนนของ CDU เกือบเท่าตัว สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยก และความไม่พอใจที่ยังคงมีอยู่หลังการรวมประเทศ
5. อิทธิพลจากกระแสขวาจัดทั่วโลก และการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
การเติบโตของกระแสการเมืองขวาจัดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเยอรมนี แต่เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นการเมืองฝ่ายขวาที่เกิดขึ้นทั่วยุโรป และพี่ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา รวมถึงในเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ออสเตรีย และอิตาลี ความสำเร็จของพรรคขวาจัดในประเทศเหล่านี้ได้เสริมความมั่นใจให้กับพรรค AfD ในเยอรมนี
ที่สำคัญ พรรค AfD ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ โดยรองประธานาธิบดี JD Vance และ Elon Musk ได้แสดงการสนับสนุนพรรค AfD อย่างเปิดเผยในระหว่างการรณรงค์หาเสียง ตามรายงานของ CNN และ Bloomberg การแทรกแซงนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับ ฟรีดริช แมร์ซ ผู้นำ CDU/CSU แต่ก็เสริมความชอบธรรมให้กับ AfD ในสายตาผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางกลุ่ม
6. ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม
นโยบายด้านพลังงานสีเขียวของเยอรมนี (Energiewende) ที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน ได้รับการวิจารณ์จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายกลุ่มว่าทำให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น และกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเยอรมนี
พรรค AfD ได้ใช้ประเด็นนี้ในการหาเสียง โดยเสนอให้ยกเลิกการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน รื้อถอนกังหันลมที่มีอยู่ และกลับไปใช้พลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กังวลเกี่ยวกับต้นทุนพลังงาน และความมั่นคงทางพลังงาน
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







