วิกฤติ ‘หนี้’ ทั่วโลกพุ่ง สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทะลุ 318 ล้านล้านดอลลาร์

IIF รายงาน ‘หนี้’ ทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทะลุ 318 ล้านล้านดอลลาร์ คาดปีนี้หนี้เพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ หวั่นนักลงทุนเทขาย ‘บอนด์ยีลด์’ ดันต้นทุนกู้ยืมรัฐบาลพุ่ง
รอยเตอร์รายงานว่าสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (Institute of International Finance) หรือ IIF ได้เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ว่าในปี 2567 ระดับหนี้ทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 318 ล้านล้านดอลลาร์ และอัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีของโลกได้ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
แม้การเพิ่มขึ้น 7 ล้านล้านดอลลาร์ของหนี้สาธารณะทั่วโลกในปีที่แล้ว จะน้อยกว่าครึ่งจากระดับหนี้ที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 ซึ่งในตอนนั้นมีการกู้ยืมกันเพิ่มสูงขึ้นมากเนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ IIF ได้เตือนถึงความเสี่ยงที่ตลาดพันธบัตรอาจจะถูกเทขายจากกลุ่มนักลงทุนประเภท bond vigilantes หากนักลงทุนมองว่าการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งสูงขึ้นตามผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น
เสี่ยงหนี้เพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้
อัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ 328% เพิ่มขึ้น 1.5% จากระดับหนี้สินของรัฐบาลที่สูงถึง 95 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังสวนทางกับภาวะเงินเฟ้อ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
IIF คาดการณ์ว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้สินทั่วโลกจะชะลอตัวลงในปีนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน และต้นทุนการกู้ยืมที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ขณะเดียวกัน ในรายงานมีการเตือนว่าหนี้สินของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งอาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเรียกร้องให้มีการกระตุ้นทางการเงิน และการใช้จ่ายด้านการทหารที่เพิ่มขึ้นใน “ยุโรป”
เอ็มเร ทิฟติก ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านความยั่งยืนของ IIF กล่าวว่า อาจเห็นความผันผวนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองสูง
'ตลาดเกิดใหม่' เจอความท้าทายใหญ่
ในปีที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่เช่น จีน อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และตุรกีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ของการเพิ่มขึ้นของหนี้สินทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65%
ประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังเจอความท้าทายใหญ่ เพราะหนี้สินพุ่งสูงขึ้นมาก ประกอบกับปีนี้ยังมีหนี้เก่าที่ต้องจ่ายคืนอีก 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่สำคัญคือ 10% ของหนี้ทั้งหมดเป็นเงินสกุลต่างประเทศ สถานการณ์นี้ทำให้ประเทศเหล่านี้อาจรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้ยากขึ้น
รายงานยังระบุว่าความตึงเครียดจากสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้น และการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่จะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ รวมทั้งการตัดงบประมาณ USAID อาจก่อให้เกิดความท้าทายด้านสภาพคล่องที่สำคัญ จำกัดความสามารถในการต่ออายุหนี้ และการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศเพิ่มเติมจะทำได้ยากขึ้น
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่เพิ่มขึ้นในการพัฒนาการจัดเก็บรายได้ภายในประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“ในสภาวะที่มีความผันผวนสูงเช่นนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดเงินทุนจากภาคเอกชนให้มากขึ้น” ทิฟติก กล่าว
อย่างไรก็ดี ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง อาทิ เคนยา และโรมาเนีย กำลังประสบปัญหาในการเพิ่มรายได้ภายในประเทศด้วยปัจจัยที่แตกต่างกัน โดยเคนยาเผชิญกับความไม่พอใจของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษี ในขณะที่โรมาเนียต้องระมัดระวังนโยบายการคลังเนื่องจากมีกำหนดการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







