DeepSeek ปลุกหุ้น ‘จีน’ ฟื้น กดอินเดียร่วง นักลงทุนแห่โยกเงินเข้า ‘หุ้นเทค’

DeepSeek ปลุกตลาดหุ้น ‘จีน’ ฟื้น MSCI China พุ่ง 26.5% นักลงทุนแห่โยกเงินลงทุนออกจาก ‘อินเดีย’ เข้าสู่ ‘บิ๊กเเทคจีน’ กด MSCI India ร่วงกว่า 7% นักวิเคราะห์เตือนระวังความเสี่ยง หลังการบริโภคจีนยังฟื้นตัวไม่มั่นคง ฉุดตลาดผันผวนตลอดปี 68
กระแส “ดีปซีก” (DeepSeek) สตาร์ทอัพด้าน AI จากจีนที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกพร้อมกับปลุกความเชื่อมั่นกลับมาสู่ตลาดหุ้นจีนอีกครั้ง ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั้งในและต่างประเทศของจีนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากถึง 26% จากจุดต่ำสุดในเดือนม.ค. แต่ขณะที่ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัว
ขณะที่ “ตลาดหุ้นอินเดีย” กำลังปรับตัวลดลง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่านักลงทุนอาจโยกย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นอินเดียไปยังตลาดหุ้นจีน
ก่อนหน้านี้ ดัชนี CSI300 ของจีนให้ผลตอบแทนติดลบเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ก่อนที่จะบันทึกกำไรที่แข็งแกร่งในปีที่แล้ว ในขณะที่หุ้นอินเดียได้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา แต่ผลตอบแทนในปี 2567 ออกมาต่ำกว่าปีก่อน
จีนฟื้น อินเดียร่วง
หุ้นจีนฟื้นตัวในปีนี้ ซึ่งนำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่พุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่มีการเปิดตัวโมเดล R1 ของ DeepSeek ในเดือนม.ค. ที่สามารถท้าทาย AI ของสหรัฐ ด้วยการอ้างว่ามีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
DeepSeek ทำให้ดัชนี Hang Seng Tech ซึ่งติดตามบริษัทเทคโนโลยี 30 อันดับแรกที่จดทะเบียนในฮ่องกง พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ดัชนี MSCI China ซึ่งเพิ่มขึ้น 26.5% จากจุดต่ำสุด และเพิ่มขึ้นเกือบ 18% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ขณะที่ดัชนี MSCI India ลดลงมากกว่า 7% ในปีนี้
อเล็กซ์ สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ของบริษัท Abrdn กล่าวว่า การที่นักลงทุนเริ่มนำเงินทุนกลับมาลงทุนในจีนอีกครั้งนั้น เป็นผลมาจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของจีนในหลายๆ ด้าน รวมทั้งความสำเร็จของ DeepSeek และ Qwen 2.5 ของ Alibaba ได้กระตุ้นความสนใจของนักลงทุนต่อบริษัทเทคโนโลยีจีนมากขึ้น จากการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับลดต้นทุน
เทียว ซิ่วหัว นักวิเคราะห์จาก ไลออน โกลบอล อินเวสเตอร์ กล่าวว่า “ทุกครั้งที่ตลาดจีนขึ้น ตลาดอินเดียก็ลงด้วย” นักลงทุนจำเป็นต้องขายอะไรบางอย่างเพื่อระดมทุนให้กับอะไรบางอย่าง ซึ่งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความผิดหวังที่เราพบเห็นในอินเดีย กล่าวคือนักลงทุนอาจกำลังโยกย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นอินเดียไปยังตลาดหุ้นจีน เนื่องจากความผิดหวังในผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดีย
‘อินเดีย’ เริ่มหมดเสน่ห์?
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดัชนี CSI 300 ของจีนประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ดัชนี Nifty 50 ของอินเดียกลับทำกำไรได้ดี
หลังจากการระบาดโควิด 19 นักลงทุนจำนวนมากได้ย้ายออกจากจีน และโยกย้ายเม็ดเงินไปยังประเทศต่างๆ รวมถึง อินเดีย แต่ปัจจุบันทิศทางของตลาดหุ้นอินเดียเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลังจากที่นักลงทุนเคยให้ความสนใจและมองว่าอินเดียเป็นตลาดหลักสำหรับการลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในปี พ.ศ. 2567
อเล็กซ์ สมิธ จากบริษัท Abrdn ชี้ให้เห็นว่า ความน่าสนใจของตลาดหุ้นอินเดียในสายตานักลงทุนลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียกำลังชะลอตัว ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกำไรในระยะใกล้นั้นไม่ชัดเจน
ข้อมูลเศรษฐกิจระบุว่า GDP ของอินเดียเติบโตเพียง 5.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมีนาคมลงเหลือ 6.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี
แห่ลดน้ำหนัก ‘หุ้นอินเดีย’
ข้อมูลจากธนาคารโนมูระเผยว่า ณ สิ้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมา กองทุนรวมตลาดเกิดใหม่ (EM) ขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่า 33% ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนและฮ่องกงมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 26% ในเดือนธ.ค. ในทางตรงกันข้าม มีกองทุน EM มากขึ้นถึง 6% ที่ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอินเดียลงต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้ กองทุนมากกว่า 50% ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในอินเดียภายในเดือนม.ค. ในขณะที่เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนและฮ่องกงแทน
นิโคล หว่อง ผู้จัดการจากกองทุนแมนูไลฟ์เปิดเผยว่า ได้ขายทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นอินเดียในเดือนม.ค. และนำเงินไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนและฮ่องกง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีของจีน
หุ้นจีนยังมี 'ความเสี่ยง’
เงินทุนเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนในขณะนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากนักลงทุนกำลังอยู่ในช่วงวาระที่สองของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งมีแนวโน้มว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มข้นมากขึ้นเพื่อรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐ
แม้ว่าตลาดหุ้นจีนจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่เศรษฐกิจจีนก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
นิโคล หว่อง กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของการบริโภคในจีน โดยเตือนนักลงทุนว่าสถานการณ์การบริโภคที่ฟื้นตัวนั้น ยังไม่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน เจมส์ หลิว นักวิเคราะห์จากเคลียร์โนมิกส์ ระบุว่าสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ตลาดจีนยังคงมีความผันผวนสูง ซึ่งหมายความว่านักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับระบบการเงินและอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้ตลาดหุ้นจีนผันผวนตลอดทั้งปี 68
ในส่วนของตลาดหุ้นอินเดีย เคน หว่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากอีสท์สปริง อินเวสเมนท์ซึ่งจัดสรรพอร์ตการลงทุนโดยมีสัดส่วนหุ้นจีน 51% และหุ้นอินเดีย 46% มองว่ายังมีโอกาสที่นักลงทุนจะขายทำกำไร เนื่องจากตลาดหุ้นอินเดียมีการปรับฐานตั้งแต่ต้นปี รวมทั้งกำลังพิจารณาลดความเสี่ยงจากหุ้นบริษัทขนาดเล็กและกลางในอินเดีย ะร้อมจับตามองหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ เช่น หุ้นกลุ่มการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคาร