เลือกตั้ง ‘เยอรมนี’ ได้ผู้นำคนใหม่ แต่ไม่อาจฟื้น ‘เศรษฐกิจ’ ที่กำลังถดถอย

‘เยอรมนี’ ได้ผู้นำคนใหม่หลังเลือกตั้ง ที่กำลังอยู่ระหว่างการนับคะแนนเสียง นักวิเคราะห์หวั่นนโยบาย ‘เบรกหนี้-ลดภาษี’ ไม่อาจกระตุ้น ‘เศรษฐกิจ’ ที่กำลังถดถอย ให้ฟื้นกลับมาเติบโต 2% ภายใน 4 ปีได้
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจเยอรมันกำลังเข้าสู่ 'ภาวะถดถอย' โดย GDP ลดลง 2 ปีติดต่อกัน
- การเลือกตั้ง 'เยอรมนี' ปิดหีบเมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่ง 'ฟรีดริช แมร์ซ' ตัวเต็งจากพรรคอนุรักษ์นิยม CDU ให้คำมั่นว่าหากได้เป็นผู้นำรัฐบาล “จะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ตามที่ประเทศต้องการ”
- นักวิเคราะห์มองเป้า GDP โต 2% ภายใน 4 ปี ภายใต้แนวคิดของพรรคอนุรักษ์นิยมในการลดหนี้ เหมือนเป็นความฝันมากกว่าแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม
ซีเอ็นบีซีรายงานสถานการณ์การเลือกตั้งใน “เยอรมนี” ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ.68 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าผู้นำคนใหม่นี้อาจไม่สามารถพลิกฟื้นสถานการ์นี้ได้
GDP ของเยอรมนีลดลงทั้งในปี 2566 และ 2567 โดยตัวเลขการเติบโตรายไตรมาสล่าสุดยังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อภาวะ “ถดถอย” โดยในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเยอรมนีหดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะนี้พี่ใหญ่แห่งยุโรปเผชิญแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมหลัก เช่น ภาคยานยนต์ ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เครือข่ายรถไฟของประเทศ และวิกฤติการสร้างบ้าน
‘ฟรีดริช แมร์ซ’ หวังฟื้นเศรษฐกิจเยอรมัน
ขณะนี้ อาสาสมัครในนครแฟรงก์เฟิร์ตของเยอรมนี ช่วยกันนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้ง หลังหน่วยเลือกตั้งปิดหีบให้ลงคะแนนตั้งแต่เวลา 18.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับ 24.00 น. ตามเวลาในไทย โดย “ฟรีดริช แมร์ซ” แคนดิเดตจากพรรคฝั่งอนุรักษ์นิยม “ซีดียู” (CDU) ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะได้เป็นผู้นำเยอรมนีคนถัดไป
ก่อนหน้านี้ ฟรีดริช แมร์ซ ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายทางเศรษฐกิจของนายกฯ โอลาฟ ชอลซ์ อย่างตรงไปตรงมา พร้อมชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายเหล่านี้กับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป เขาให้คำมั่นว่าหากได้เป็นผู้นำรัฐบาล “จะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ตามที่ประเทศต้องการ”
คาร์สเทน เบรเซสกี หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์มหภาคระดับโลกของธนาคารไอเอ็นจี (ING) เผยว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เยอรมนีจะมีรูปแบบเศรษฐกิจแบบใหม่หลังการเลือกตั้ง แต่คงไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ประเทศคู่แข่งต้องอิจฉา
‘จุดอ่อน’ นโยบายเศรษฐกิจพรรค CDU
พรรค CDU ซึ่งร่วมมือกับพรรคพันธมิตรในระดับภูมิภาคอย่างพรรค Christian Social Union (CSU) กำลังผลักดันนโยบายที่เบรเซสกี้เรียกว่าเป็น “แนวทางอนุรักษ์นิยมทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม”
พรรค CDU/CSU ได้ประกาศนโยบายหลักประกอบด้วยการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล การลดเงินอุดหนุนและขั้นตอนทางราชการ การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม การผ่อนคลายกฎระเบียบ การสนับสนุนด้านนวัตกรรม การส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการลงทุนต่างๆ
เบรเซสกี้ได้วิจารณ์จุดอ่อนสำคัญในจุดยืนของพรรค CDU/CSU คือการขาดความชัดเจนในรายละเอียดว่าจะเพิ่มการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการศึกษาอย่างไร แม้จะมีความตั้งใจที่จะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ แต่ยังไม่มีแผนการที่เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ เขายังสังเกตว่าพรรคดูเหมือนต้องการที่จะฟื้นฟูรูปแบบเศรษฐกิจเยอรมันแบบเดิม มากกว่าที่จะปฏิรูปใหม่ทั้งระบบ
“นี่เป็นเพียงแผนปฏิรูปที่สร้างภาพว่าการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือความยากลำบากใดๆ”
GDP โต 2% อาจเป็นแค่ ‘ความฝัน’
เจอรัลดีน ดานี-เนดลิค หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจจากสถาบันวิจัย DIW Berlin ชี้ให้เห็นว่า พรรค CDU ได้กำหนดเป้าหมายผ่านแผนการทางการเงินและเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วาระ 2030” โดยตั้งใจจะผลักดันให้ GDP เติบโตที่ระดับประมาณ 2% อีกครั้ง
นอกจากนี้ การที่จะทำให้เศรษฐกิจเยอรมนีเติบโตได้ถึงระดับดังกล่าวนั้น “ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้” ไม่เพียงแต่ในระยะสั้นเท่านั้น แต่รวมถึงในระยะยาวด้วย
ดานี-เนดลิค ยังกล่าวถึงการ "เบรกหนี้" ซึ่งเป็นกฎทางการคลังที่ใช้มาอย่างยาวนานและได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญของเยอรมนี กฎนี้มีจุดประสงค์เพื่อจำกัดขนาดของการขาดดุลงบประมาณเชิงโครงสร้างและปริมาณหนี้ที่รัฐบาลสามารถก่อได้
ประเด็นการปรับปรุงกฎ "เบรกหนี้" ได้กลายเป็นหัวข้อร้อนในการถกเถียงด้านการคลังช่วงก่อนการเลือกตั้ง ถึงแม้พรรค CDU จะยังคงยึดมั่นในหลักการเดิมที่ไม่เปลี่ยนแปลงกฎดังกล่าว แต่ฟรีดริช แมร์ซส่งสัญญาณพร้อมเปิดรับการปฏิรูปในบางประเด็น
“การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่เพิ่มภาระหนี้นั้นเป็นเรื่องยาก หากรัฐบาลต้องการเพิ่มการลงทุนภายใต้กรอบ "เบรกหนี้" ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นภาษีอย่างมาก และเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 2% ภายในระยะเวลา 4 ปี ตามแผนงานปี 2573 ที่มาพร้อมกับแนวคิดอนุรักษ์นิยมในการลดหนี้นั้น ดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝันมากกว่าแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม”
นโยบายลดหย่อนภาษีสร้างความ ‘เหลื่อมล้ำ’
ฟรานซิสกา ปาลมาส นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านยุโรปจาก Capital Economics มองว่าแผนงานของพันธมิตร CDU-CSU มีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่คาดว่าจะสร้างแรงกระตุ้นได้ไม่มากนัก
แม้มาตรการลดหย่อนภาษีจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่อ่อนแอ ประชาชนอาจเลือกเก็บออมเงินส่วนที่ได้จากการลดภาษีแทน ขณะที่ภาคธุรกิจก็อาจชะลอการลงทุนออกไป
นอกจากนี้ ปาลมาสยังเตือนว่านโยบายใหม่นี้จะสร้างความเหลื่อมล้ำ เพราะการลดหย่อนภาษีเงินได้จะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและสูงมากกว่า ในขณะที่ครัวเรือนรายได้น้อยอาจได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากการปรับลดสวัสดิการสังคมที่อาจตามมา
อ้างอิง CNBC







