‘สามปีแห่งสงคราม’ ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม และการเติบโตของยูเครน

‘สามปีแห่งสงคราม’ ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม และการเติบโตของยูเครน

ในวาระครบรอบสามปีรัสเซียรุกรานยูเครน Mr.Viktor Semenov อุปทูตสาธารณรัฐยูเครนประจำประเทศไทย นำเสนอบทความพิเศษกล่าวถึงสงครามทางวัฒนธรรมที่ยังดำรงอยู่

ในขณะที่ยูเครนก้าวเข้าสู่วาระครบรอบสามปีของการรุกรานทางทหารอย่างเต็มรูปแบบโดยรัสเซียในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025 โลกไม่ได้เป็นเพียงแค่สักขีพยานของสงครามที่เกิดขึ้นในสนามรบเท่านั้น แต่ยังเป็นสักขีพยานของสงครามทางวัฒนธรรมที่ยังคงดำเนินอยู่

‘สามปีแห่งสงคราม’ ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม และการเติบโตของยูเครน

ความพยายามของมอสโกในการลบล้างอัตลักษณ์ของยูเครนได้รับการต่อต้านอย่างไม่ย่อท้อ ไม่เพียงแค่ในสนามรบ แต่ยังขยายไปถึงพิพิธภัณฑ์ เวทีคอนเสิร์ต สตูดิโอศิลปะ และโรงพิมพ์ วัฒนธรรมของยูเครนจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน และการดำรงอยู่ท่ามกลางความพยายามลบเลือนอัตลักษณ์ของชาติ

การรุกรานยูเครนในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลก ครั้งที่ 2 ตั้งแต่เริ่มต้นสงคราม กองกำลังรัสเซียโจมตีไม่เพียงแต่โครงสร้างพื้นฐานทางทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมด้วย

หากกล่าวให้ชัดเจน การรุกรานครั้งนี้ได้ทำลายหรือสร้างความเสียหายแก่สิ่งปลูกสร้างทางวัฒนธรรมจำนวน 2,185 แห่ง รวมถึงห้องสมุด 784 แห่ง, พิพิธภัณฑ์ และแกลเลอรี 120 แห่ง, โรงละคร โรงภาพยนตร์ และหอแสดงดนตรีฟีลฮาร์โมนิก 39 แห่ง รวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมของยูเครน 1,333 แห่ง เช่น อนุสาวรีย์ งานศิลปะประติมากรรม และสถาปัตยกรรม 

‘สามปีแห่งสงคราม’ ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม และการเติบโตของยูเครน

ไม่มีเดือนไหนเลยที่สถิติความเสียหายไม่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การโจมตีเมืองโอเดสซาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ทำให้มีอาคารอย่างน้อย 26 แห่งในใจกลางย่านประวัติศาสตร์ของโอเดสซาถูกทำลายหรือได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ใจกลางย่านประวัติศาสตร์ของลวิฟก็ได้รับความเสียหายจากการกระทำโดยเจตนาของรัสเซียเช่นเดียวกัน 

องค์การยูเนสโกได้ยืนยันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแหล่งมรดกทางประวัติศาสตร์หลายร้อยแห่ง รวมถึงโบสถ์ โรงละคร และห้องสมุด ซึ่งความสูญเสียเหล่านี้ไม่สามารถประเมินค่าได้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่โรงละครแห่งมาริอูโพล การทำลายโรงละครโอเปรารัฐคาร์คิฟ และการทำลายพิพิธภัณฑ์ที่บันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาติยูเครนมายาวนาน และทุกๆ การโจมตีล้วนชี้ให้เห็นถึงความพยายามในการลบล้างประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของชาติยูเครน 

‘สามปีแห่งสงคราม’ ความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม และการเติบโตของยูเครน

อย่างไรก็ตาม การที่พื้นที่บางส่วนของยูเครนถูกยึดครองชั่วคราวโดยรัสเซียเป็นอุปสรรคสำคัญในการประเมินจำนวนแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ และการยึดครอง

ดังนั้น การฆ่าล้างวัฒนธรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของรัสเซียที่มุ่งทำลายประวัติศาสตร์ของยูเครน และปฏิเสธการมีอยู่ของชาติยูเครน การสูญเสียมรดกทางวัฒนธรรมรวมทั้งหมดประมาณ 7 ล้านชิ้น โดยยังคงเหลืออยู่ในพื้นที่ ที่ถูกยึดครองประมาณ 1.7 ล้านชิ้น 

นอกจากการทำลายทางกายภาพแล้ว รัสเซียยังได้ปล้นงานศิลปะยูเครนอย่างเป็นระบบ โดยที่ผลงานชิ้นเอกจากพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่ ที่ถูกยึดครองได้ถูกขโมย และถูกส่งไปยังที่รัสเซีย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพของการปล้นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่เคยเกิดขึ้นในช่วงสงครามจักรวรรดิในอดีต 

มรดกทางวัฒนธรรมของยูเครนจำนวน 828 ชิ้นได้รับการยืนยันว่าถูกขโมยไปโดยรัสเซีย แต่จำนวนที่แท้จริงสูงกว่านั้นมาก และน่าจะเพิ่มขึ้น ในช่วงการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบ กลุ่มก่อการร้ายชาวรัสเซียยังได้ทำลายหรือสร้างความเสียหายแก่ห้องสมุดหลายร้อยแห่ง และทำให้หนังสือยูเครนกว่า 200 ล้านเล่มเสียหายไปด้วย ในพื้นที่ ที่ถูกยึดครอง เจ้าหน้าที่รัสเซียได้แทนที่หลักสูตรการศึกษาของยูเครนด้วยโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย เพื่อพยายามลบล้างอัตลักษณ์ยูเครนตั้งแต่รากฐาน

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ชุมชนทางวัฒนธรรมของยูเครนยังคงยืนหยัด และไม่ยอมให้เสียงของพวกเขาถูกทำให้เงียบหาย นักเขียน นักดนตรี ผู้สร้างภาพยนตร์ และศิลปินภาพได้เปลี่ยนงานศิลปะของตนให้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการต่อต้าน บางคนได้เข้าร่วมกองกำลังติดอาวุธ ขณะที่บางคนใช้ผลงานของตนในการบันทึกสงคราม รักษาประเพณียูเครน และสร้างการรับรู้ไปยังต่างประเทศ

วรรณกรรมได้มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านข้อมูลที่บิดเบือนจากรัสเซีย นักเขียนยูเครนอย่าง Serhiy Zhadan, Lina Kostenko และ Oksana Zabuzhko ยังคงเขียน และตีพิมพ์ผลงานของตนท่ามกลางสงคราม เพื่อให้เสียงของยูเครนยังคงเข้มแข็งในเวทีโลก ผลงานของพวกเขาถูกแปลเป็นหลายภาษา และนำเสนอเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และความยุติธรรมของยูเครนอย่างตรงไปตรงมา

ในวงการดนตรี นักประพันธ์เพลง และผู้แสดงชาวยูเครนได้นำศิลปะของตนไปสู่ผู้ชมทั่วโลก แม้ในช่วงสงคราม วง Kyiv Symphony Orchestra ยังคงแสดงในต่างประเทศ โดยระดมทุนเพื่อช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และรักษาประเพณีดนตรีอันล้ำค่าของยูเครนไว้ ดนตรีพื้นบ้าน และดนตรีร่วมสมัยของยูเครนที่เปี่ยมไปด้วยธีมแห่งการต่อต้าน และความอดทน ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก โดยมีศิลปินอย่าง DakhaBrakha และ Jamala (นักร้องชาวยูเครนที่มีเชื้อสายตาตาร์จากไครเมีย) ที่ใช้เวทีของตนในการสนับสนุนอธิปไตยของยูเครน และกระตุ้นให้โลกประณามการผนวกไครเมียอย่างผิดกฎหมาย

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็ได้มีบทบาทสำคัญในการบันทึกเรื่องราวของสงคราม รวมถึงการได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ทั่วโลก ด้วยการถ่ายทอดชีวิตท่ามกลางการรุกรานทางทหารของรัสเซียผ่านภาพยนตร์อันทรงพลังเจ้าของรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม และรางวัลออสการ์ 

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวยูเครนได้ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ความขัดแย้งของประเทศผ่านจอภาพยนตร์ โดยผสมผสานความโหดร้ายของสงครามเข้ากับเรื่องราวของชีวิตคนธรรมดา โดยที่ธีมหลักมักเกี่ยวข้องกับรากฐานทางประวัติศาสตร์ของยูเครน และการเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์แห่งชาติ จุดเด่นของภาพยนตร์สงครามยูเครนอยู่ที่การนำเสนอเรื่องราวผ่านแนวสารคดี และละครประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญด้วยมุมมองที่ทรงพลัง และสะท้อนประสบการณ์ระดับโลก

หนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องคือ 20 Days in Mariupol ผลงานของ Mstyslav Chernov ช่างภาพข่าวสงคราม และผู้สื่อข่าวของ Associated Press ที่บันทึกเหตุการณ์จริงจากสงครามในยูเครน ภาพยนตร์เรื่องนี้เคยเข้าฉายในกรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้วภายใต้เทศกาลภาพยนตร์ยุโรป และได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ชม

โครงการ Culture vs War ของยูเครนเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่ากล่าวถึง ซึ่งเน้นให้เห็นบทบาทของวัฒนธรรมในฐานะเครื่องมือแห่งการต่อต้าน และเป็นสื่อทรงพลังในการถ่ายทอดความจริงเกี่ยวกับสงครามสู่สายตาชาวโลก ภายใต้โครงการนี้ มีการฉายภาพยนตร์สารคดีสั้นสองเรื่องในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2023 และ 2024 ซึ่งนำเสนอเรื่องราวจากประสบการณ์ตรง และมุมมองของชาวยูเครนสู่ผู้ชมระดับนานาชาติ หนึ่งในภาพยนตร์เหล่านี้นำเสนอเรื่องราวของ Akhtem Seitablaiev ผู้กำกับ และนักแสดงชื่อดังชาวยูเครน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของยูเครน ส่วนอีกเรื่องติดตามเรื่องราวอันสะเทือนใจ และลึกซึ้งของผู้คนผ่านเลนส์ของ Kostiantyn & Vlada Liberov สองช่างภาพ และผู้สร้างภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมของยูเครน

ในขณะเดียวกัน วงการศิลปะทั่วโลกได้เปิดพื้นที่ให้กับผลงานจากยูเครน เพื่อนำเสนอเรื่องราวของสงครามในมิติที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงพาดหัวข่าว ถ่ายทอดผ่านสีสัน เนื้อสัมผัส และอารมณ์แห่งศิลปะ ด้วยเหตุนี้ สถานเอกอัครราชทูตยูเครนจึงได้จัด และให้การสนับสนุนนิทรรศการสำคัญสองครั้ง ณ ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ได้แก่ “Ukraine is the Cradle of Heroes” และ “Finding Light in Darkness” ซึ่งนำเสนอผลงานของศิลปินยูเครนชื่อดัง อาทิ Oleksiy Chebykin, Yulia Tveritina, Kateryna Prokopenko และ Marta Pitchuk

ท่ามกลางความสูญเสีย และการทำลายล้าง ความพยายามในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมของยูเครนยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น มีการจัดทำคลังข้อมูลดิจิทัลเพื่อบันทึกความสูญเสียทางวัฒนธรรม และปกป้องเอกสารประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน องค์กรต่างๆ เช่น Ukrainian Institute และ Ministry of Culture and Strategic Communications of Ukraine กำลังดำเนินโครงการฟื้นฟูสถานที่ ที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งติดตาม และนำวัตถุศิลปะที่ถูกปล้นกลับคืนสู่ประเทศ

ความร่วมมือจากนานาชาติยังมีบทบาทสำคัญ พิพิธภัณฑ์ในยุโรป และอเมริกาเหนือได้ให้ความช่วยเหลือในการจัดเก็บวัตถุศิลปะยูเครนอย่างปลอดภัย ขณะที่โครงการต่าง ๆ เช่น แคมเปญ “Cultural Solidarity” ของ PEN Ukraine ได้ช่วยขยายเสียงของยูเครนไปสู่สายตาชาวโลก รัฐบาลและสถาบันวัฒนธรรมทั่วโลกต่างตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมยูเครน และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษา และปกป้องสมบัติล้ำค่านี้

ในเดือนกันยายน 2023 องค์การยูเนสโกได้มอบการคุ้มครองชั่วคราวที่เพิ่มขึ้นให้แก่ 20 แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของยูเครน และในเดือนธันวาคม 2024 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน “Pysanka หรือ ไข่อีสเตอร์ “พีแซนกา”: ประเพณี และศิลปะการตกแต่งไข่ของยูเครน” เป็นหนึ่งในมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ การตกแต่งไข่ด้วยลวดลายที่ซับซ้อนโดยใช้ขี้ผึ้ง และการย้อมสีเป็นงานศิลปะโบราณที่มีความหมายลึกซึ้ง ทั้งในแง่ของคำอธิษฐานส่วนบุคคล และการสะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม

ก่อนหน้านี้ในปี 2021 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน “Ornek: ลวดลายเครื่องประดับของชาวตาตาร์ไครเมีย และภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้อง” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยศิลปะการตกแต่งแบบดั้งเดิมนี้มีความสำคัญยิ่งต่ออัตลักษณ์ของชุมชนตาตาร์ในไครเมีย และมีคุณค่าพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้การยึดครองของรัสเซียตลอดระยะเวลา 11 ปี (ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งยูเครนได้จัดวันต่อต้านการยึดครองของสาธารณรัฐอัตโนมัติไครเมีย และเมืองเซวาสโทพอลทุกปีในวันที่ 26 กุมภาพันธ์)

ในขณะที่ยูเครนต่อสู้เพื่ออนาคต วัฒนธรรมยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง มันทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงสิ่งที่กำลังจะสูญเสียไป และสิ่งที่ต้องได้รับการปกป้อง สงครามครั้งนี้ได้ยืนยันว่าวัฒนธรรมยูเครนไม่ใช่เพียงแค่การรวบรวมประเพณีต่าง ๆ แต่มันคือ พลังที่เชื่อมโยง และหล่อเลี้ยงชาติ

วันครบรอบสามปีของการรุกรานเต็มรูปแบบจากรัสเซียไม่ใช่แค่ช่วงเวลาของการไว้อาลัย แต่ยังเป็นช่วงเวลาของการยืนยันถึงความมั่นคง วัฒนธรรมยูเครนจะไม่ถูกลบล้าง ศิลปิน นักเขียน นักดนตรี และผู้สร้างภาพยนตร์ของประเทศจะยังคงเล่าเรื่องราวของพวกเขาต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าในอนาคต เราจะไม่เพียงจดจำความสยดสยองจากสงคราม แต่จะจดจำจิตวิญญาณที่ไม่สามารถแตกสลายของชาติที่ตัดสินใจที่จะต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และเสรีภาพของตัวเอง

ท่ามกลางระเบิด และการทำลายล้าง วัฒนธรรมของยูเครนยังคงยืนหยัดเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความอดทนแสดงให้เห็นว่า แม้ในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และอัตลักษณ์ของชาติยังคงไม่อาจถูกทำลายได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์