ทรัมป์จ่อขึ้นภาษีนำเข้า 'รถยนต์' อาจเริ่มประกาศ 2 เมษายนนี้

ทรัมป์เผยจะขึ้นภาษีนำเข้า 'รถยนต์' เป็นรายถัดไป อาจเริ่มประกาศได้ 2 เมษายนนี้ สัมพันธ์การค้าโลกจ่อตึงเครียดขึ้น ขณะปีที่แล้วสหรัฐนำเข้ารถยนต์เกือบ 5 แสนล้านดอลลาร์
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. ว่า มีแผนจะลงนามเรียกเก็บภาษีนำเข้า "รถยนต์" เพิ่มเติมจากต่างประเทศ โดยอาจจะเริ่มได้ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. นี้
การกล่าวถึงเรื่องนี้มีขึ้นระหว่างการตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะทำตามที่เคยขู่เอาไว้ก่อนหน้านี้เรื่องจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ หรือไม่
"ในช่วงถัดไป อาจจะประมาณวันที่ 2 เมษายน" ทรัมป์กล่าว "ผมน่าจะจัดเก็บภาษีในวันที่ 1 เมษายน แต่ผมถือเรื่องนี้นิดหน่อย (1 เม.ย. คือวัน April's Fool) ไม่หรอกจริงๆ แล้วเราวางแผนไว้สำหรับวันที่ 1 เมษายน แต่เอาเป็นว่า เป็นวันที่ 2 เมษายนแล้วกัน"
สำนักข่าวโพลิติโคระบุว่า ภาษีตัวใหม่นี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับเพื่อนบ้านในอเมริกาเหนือ ยุโรป และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกยิ่งร้าวฉานมากขึ้น
นำเข้ารถยนต์ปีละเกือบ 5 แสนล้านดอลลาร์
ในปีที่แล้ว สหรัฐนำเข้าผลิตภัณฑ์ยานยนต์มูลค่า 4.71 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงรถยนต์มูลค่า 2.14 แสนล้านดอลลาร์ ชิ้นส่วนรถยนต์มูลค่า 1.92 แสนล้านดอลลาร์ และรถบรรทุก รถโดยสาร และยานยนต์เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษมูลค่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ซัพพลายเออร์รถยนต์ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดคือ เม็กซิโก (4.9 หมื่นล้านดอลลาร์) รองลงมาคือญี่ปุ่น (4 หมื่นล้านดอลลาร์) เกาหลีใต้ (3.7 หมื่นล้านดอลลาร์) แคนาดา (2.8 หมื่นล้านดอลลาร์) และเยอรมนี (2.5 หมื่นล้านดอลลาร์)
ปัจจุบัน เม็กซิโก แคนาดา และเกาหลีใต้สามารถเข้าถึงสหรัฐได้โดยไม่ต้องเสียภาษีสำหรับรถยนต์ส่วนใหญ่ โดยถือว่าประเทศเหล่านี้ปฏิบัติตามข้อกำหนด "กฎถิ่นกำเนิด" ของรถยนต์ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีที่ทำกับสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) เสี่ยงที่จะกลายเป็นเอฟทีเอที่ไร้ความหมาย เนื่องจากทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 25% จากเม็กซิโกและแคนาดา เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยที่ชายแดน ประธานาธิบดีขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีดังกล่าวในช่วงต้นเดือนนี้ แต่ได้เลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 12 มีนาคม ขณะที่รัฐบาลทั้งสามประเทศกำลังเจรจากันอยู่ในขณะนี้
เมื่อวันพฤหัสบดี ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร กำหนดให้เรียกเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้กับแต่ละประเทศที่เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสหรัฐ (reciprocal tariff) ซึ่งคาดว่าจะมีผลในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า โดยพิจารณาจากการประเมินอัตราภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้าอื่นๆ ของแต่ละประเทศ







