'ทรัมป์' สั่งหน่วยงานรัฐ ร่วมมือ 'อีลอน มัสก์' เตรียมปลดข้าราชการครั้งใหญ่

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้หน่วยงานรัฐทำงานร่วมกับอีลอน มัสก์ อย่างใกล้ชิด ในความพยายามลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางด้วยการปลดคนออกครั้งใหญ่ และยกเลิกการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการเมื่อวันอังคาร (11 ก.พ.) ให้หน่วยงานรัฐทำงานร่วมกับอีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาระดับสูงสุดของเขาอย่างใกล้ชิด ในความพยายามลดจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐด้วยการคัดข้าราชการที่สามารถเลิกจ้างได้ และยกเลิกการทำงานในด้านต่างๆ ที่สามารถทำได้
คำสั่งดังกล่าว กำหนดกฎเกณฑ์ให้หน่วยงานของรัฐต้องจ้างพนักงานไม่เกิน 1 คนต่อพนักงาน 4 คนที่ลาออก และกำหนดให้หน่วยงานต่างๆ ทำงานร่วมกับทีมของมัสก์เพื่อลดจำนวนพนักงานในวงกว้าง และหาว่าภาคส่วนของหน่วยงานใดบ้างที่สามารถยกเลิกได้
อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวระบุ ข้อยกเว้นแก่ข้าราชการที่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยสาธารณะ การบังคับใช้กฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง โดยคนกลุ่มนี้ไม่ต้องถูกเลิกจ้าง
อนึ่ง ข้าราชการจำนวนมากเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน นั่นหมายความว่า การเลิกจ้างหรือการลดจำนวนพนักงานจำนวนมาก จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในการเจรจาต่อรองร่วมกัน ส่วนข้าราชการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานยังคงได้รับการคุ้มครองการจ้างงานภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางอีกด้วย
มัสก์โชว์เหนือในห้องทำงานปธน.
ในการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ณ ห้องทำงานรูปไข่ของทรัมป์ มีมัสก์เข้ามายืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับลูกชายวัย 4 ขวบของเขาด้วย และมหาเศรษฐีได้ตอบคำถามกับนักข่าวอย่างชัดเจนว่า เขาเป็นผู้นำในความพยายามดำเนินการลดจำนวนคนในรัฐบาลทรัมป์ และให้คำมั่นว่า จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้รัฐบาล 1 ล้านล้านดอลลาร์ผ่านความพยายามในการหาการใช้จ่ายที่ฉ้อโกงและการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองของรัฐบาล ซึ่งตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 15% ของการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางทั้งหมด
บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกที่มาในชุดสูทดำสวมหมวก “Make America Great Again” ยังได้กล่าวปกป้องบทบาทของตนในฐานะเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ได้รับอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อนจากประธานาธิบดีในการยุบหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐ
“พวกคุณไม่สามารถมีระบบราชการของรัฐบาลกลางที่เป็นอิสระได้ แต่ต้องมีระบบราชการที่ตอบสนองต่อประชาชน” มัสก์กล่าว
มัสก์ ผู้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) และเจ้าของบริษัทเทสลา และแพลตฟอร์ม X ยังได้กล่าวตอบโต้คำวิจารณ์ที่ว่า เขาและทีมกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ทำงานกันอย่างลับๆ เป็นส่วนใหญ่
“ผมคิดไว้แล้วว่าจะถูกตรวจสอบ เหมือนต้องตรวจทวารหนักทุกวัน” มัสก์กล่าว “ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าจะรอดตัวไปได้”
DOGE ปฏิบัติงานอย่างลับๆ เกือบทั้งหมด และไม่เปิดเผยข้อมูลว่าใครเป็นพนักงาน หรือดำเนินงานที่ใด หรือดำเนินการอะไรภายในหน่วยงานรัฐบาล และเผยแพร่ผลลัพธ์การดำเนินงานเพียงไม่กี่รายการ โดยนำเสนอเพียงงบประมาณที่ควรตัดออกไป ซึ่งเป็นงบฯ ที่กำหนดใช้จ่ายในหน่วยงานเฉพาะ และมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ คำสั่งฝ่ายบริหารในวันอังคาร เป็นความพยายามล่าสุดของทรัมป์และมัสก์ ในการลดจำนวนคนและปรับปรุงหน่วยงานรัฐให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของทรัมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอจ้างออกจากงานครั้งใหญ่ รวมถึงพยายามแยกการคุ้มครองข้าราชการพลเรือนออกจากเจ้าพนักงานของรัฐบาลกลาง และดำเนินการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางบางแห่งลง
การผลักดันให้มีการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์พยายามเกลี้ยกล่อมข้าราชการรัฐบาลกลางให้ยอมรับข้อเสนอจ้างให้ออกจากงานแต่ผู้พิพากษารัฐบาลกลางขัดขวางความพยายามดังกล่าว
นอกเหนือจากเรื่องการสั่งระงับแผนเสนอจ้างให้ออกจากงานแล้ว ศาลยังได้สั่งระงับความพยายามของทรัมป์ที่จะให้พนักงานในหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐพักงาน และห้ามไม่ให้มัสก์เข้าถึงระบบการชำระเงินที่อ่อนไหวของกระทรวงการคลังชั่วคราว
สหรัฐมีข้าราชการพลเรือนราว 2.3 ล้านคน ไม่นับรวมไปรษณีย์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ครองสัดส่วนข้าราชการของรัฐบาลกลางมากที่สุด แต่ยังมีข้าราชการอีกหลายแสนคนทั่วประเทศที่ทำงานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทหารผ่านศึก ตรวจสอบภาคการเกษตร และดูแลการใช้จ่ายของรัฐบาล รวมถึงงานอื่นๆ
นอกจากนี้ เมื่อวันอังคาร มัสก์ยังได้กล่าวโจมตีผู้พิพากษาที่ออกคำตัดสินที่สั่งระงับการดำเนินการของฝ่ายบริหารของทรัมป์ผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “ประชาธิปไตยในอเมริกากำลังถูกทำลายโดยการรัฐประหารของฝ่ายตุลาการ”
ขณะที่ทรัมป์ก็ได้แสดงความไม่พอใจในลักษณะเดียวกันระหว่างการพบปะกับมัสก์ที่ห้องทำงานรูปไข่
“เราต้องการกำจัดการทุจริต แต่ดูเหมือนจะเชื่อได้ยากว่าผู้พิพากษาต้องการเหมือนกัน เราไม่อยากให้คุณทำแบบนั้น” ทรัมป์กล่าว “ดังนั้นบางทีเราอาจจะต้องหันมาพิจารณาผู้พิพากษา นั่นเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ผมคิดว่ามันเป็นการละเมิดที่ร้ายแรงมาก”
อ้างอิง: Reuters