ต่างชาติเตือน ‘ไทย - อินเดีย’ รายต่อไป เสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี 6%

ต่างชาติเตือน ‘ไทย - อินเดีย’ รายต่อไป เสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี 6%

เตือน ‘ไทย - อินเดีย’ รายต่อไป เสี่ยงได้รับผลกระทบจาก ‘สงครามการค้ารุนแรง’ จากการเก็บภาษีสหรัฐมากกว่า อาจถูกสหรัฐขึ้นภาษี 4-6%

KEY

POINTS

ไทยเสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี 6% 

นักวิเคราะห์ที่ศึกษาเรื่องการเก็บภาษีระหว่างประเทศประมาณการว่าทั้งอินเดีย และไทยต่างเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐ เมื่อเทียบกับภาษีที่สหรัฐเก็บจากสินค้านำเข้าจากทั้งสองประเทศนี้ อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าจะใช้นโยบายตอบโต้อะไร และจะเล็งเป้าไปที่ประเทศใดบ้าง รวมถึงหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินใจ

ทีมนักวิเคราะห์นำโดย มาเอวา คัซเซิน จากบลูมเบิร์ก อีโคโนมิก และ จอร์จ ซาราเวลอส จากดอยช์แบงก์ ต่างเห็นความแตกต่างของอัตราภาษีศุลกากรระหว่างอินเดียกับสหรัฐว่ามีช่องว่างอย่างมาก โดยอัตราภาษีเฉลี่ยที่อินเดียเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐนั้น สูงกว่าภาษีที่สหรัฐเก็บจากสินค้าอินเดียถึงกว่า 10% ส่งผลให้อินเดียมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษที่จะถูกสหรัฐใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า

ขณะเดียวกัน ทีมนักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ นำโดย เชตัน อาห์ยา ระบุว่า อินเดีย และไทยเป็นสองประเทศในเอเชียที่อาจถูกขึ้นภาษีนำเข้าอีก 4-6% หากสหรัฐตัดสินใจเก็บภาษีเพิ่มเพื่อลดช่องว่างของอัตราภาษีที่แตกต่างกัน  ซึ่งอินเดียยังมีโอกาสที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์ป้องกันประเทศ พลังงาน และเครื่องบิน

ทั้งนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับรายละเอียดของการพิจารณาว่ารัฐบาลของทรัมป์จะพุ่งเป้าไปที่เรื่องใด เช่น  อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของประเทศ หรืออุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์บางประเภท  แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วอัตราภาษีศุลกากรของประเทศต่างๆ ที่เรียกเก็บกับสินค้าของสหรัฐ อาจดูไม่สูงนัก แต่ในบางกรณี อัตราภาษีสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น รถยนต์หรือสินค้าเกษตร อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ

บีบเอเชียเข้าหา ‘สหรัฐ’

การขู่ใช้มาตรการทางการค้าครั้งนี้ ทำให้ประเทศในเอเชียต้องโอนอ่อนผ่อนตามทรัมป์มากขึ้น และต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อรับมือกับความขัดแย้งทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต

ก่อนที่ผู้นำทั้งสองประเทศจะมีการประชุมร่วมกับสหรัฐในสัปดาห์นี้ บริษัทนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ของอินเดีย กำลังเจรจาขอซื้อก๊าซเพิ่มจากสหรัฐ ส่วนประเทศไทยก็กำลังพิจารณาซื้อสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากแผนที่จะนำเข้าอีเทน และสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นในปีนี้

เมื่อเทียบสงครามการค้าครั้งแรกของทรัมป์ในปี 2561 และ  2562 กับ “ทรัมป์ 2.0” ถือว่ามาตรการภาษีศุลกากรมีความเข้มงวดมากขึ้นอย่างมาก ดังนั้นความตึงเครียดด้านการค้า และความเสี่ยงอาจเพิ่มสูงขึ้น 

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานคำเตือนของนักเศรษฐศาสตร์ว่าสงครามการค้าขั้นต่อไปของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วภูมิภาค “เอเชีย” โดย อินเดีย และ “ไทย” มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบรุนแรง จากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ทางการค้าที่ทรัมป์ได้ลั่นวาจาไว้

โซนัล วาร์มา นักวิเคราะห์จากโนมูระโฮลดิ้งชี้ให้เห็นว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียมีอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าส่งออกของสหรัฐสูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากรที่สูงกว่าเช่นกัน โดยวาร์มา คาดการณ์ว่าประเทศเหล่านี้จะเร่งเจรจาทางการค้ากับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์

ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ได้พยายามผลักดันกฎหมายการค้าใหม่ที่เรียกว่าภาษีนำเข้าตอบโต้  (US Reciprocal Trade Act ) ซึ่งกฎหมายนี้จะให้อำนาจนายทรัมป์อย่างเต็มที่ในการตั้งอัตราภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าทุกประเทศ โดยสามารถกำหนดได้ทีละรายการสินค้า

นับตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ ทรัมป์ก็ยังยืนยันจุดยืนเดิม โดยสัญญาว่าจะเก็บภาษีในอัตราเดียวกัน  

“ถ้าประเทศไหนเก็บภาษีจากสหรัฐ สหรัฐก็จะเก็บภาษีจากประเทศนั้น  ตาต่อตา ภาษีต่อภาษี ในจำนวนที่เท่ากันทุกบาททุกสตางค์”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์