นโยบายต่อต้านคนข้ามเพศของทรัมป์เป็นเรื่องน่าละอาย ?

นโยบายต่อต้านคนข้ามเพศของทรัมป์เป็นเรื่องน่าละอาย ?

นโยบายต่อต้านคนอเมริกันข้ามเพศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างความแตกแยกในสังคม ฝ่ายหัวหน้าก้าวมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นเรื่องน่าอับอาย น่าอดสู และคนอเมริกันจะเสียใจภายหลัง

นิวยอร์กไทม์สเขียนบทบรรณาธิการเมื่อวันที่ 9 ก.พ.วิจารณ์นโยบายการตัดสิทธิคนอเมริกันข้ามเพศ (Transgender) โดยย้อนอดีตว่า เหตุการณ์ที่น่าสลดใจที่สุดประวัติศาสตร์สหรัฐบางส่วนเกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลใช้อำนาจของรัฐกดขี่ต่อกลุ่มชนกลุ่มน้อย เช่น คนผิวดำ คนพื้นเมือง และเกย์ เป็นต้น แม้ว่าการใช้มาตรการบังคับเหล่านี้อาจได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในเวลานั้น แต่ประวัติศาสตร์กลับตัดสินว่ามาตรการเหล่านี้ของรัฐเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย และไม่ใช่สิ่งที่คนอเมริกันทำ

นิวยอร์กไทม์สระบุว่า แทนที่จะเข้าใจประวัติศาสตร์นี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กลับหยิบยืมสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจากประวัติศาสตร์มาใช้ หนึ่งในการกระทำแรกสุดของการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขาคือการสั่งให้รัฐบาลยอมรับว่าเพศเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และให้เลือกปฏิบัติต่อพลเมืองข้ามเพศ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เขากล่าวในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันรับตำแหน่ง “นโยบายอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐกำหนดให้มีเพียงสองเพศเท่านั้นคือ ชายและหญิง”

 บทบรรณาธิการชี้ว่า ช่วงแรกๆ ของการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของทรัมป์ เขาได้ก่อให้เกิดความกังวลมากมายเกี่ยวกับการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายและผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนอย่างร้ายแรง แต่ความโกลาหลในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ควรบดบัง สิ่งที่เขายังดำเนินการรณรงค์ต่อต้านโดยตรงต่อกลุ่มชนกลุ่มน้อยที่เปราะบางในช่วงเวลานี้ ซึ่งคนอเมริกันไม่ได้เห็นมาหลายชั่วอายุคน

 โดยภายในไม่กี่ชั่วโมง มีการออกคำสั่งและการดำเนินการของฝ่ายบริหารหลายชุดที่พยายามกีดกันบุคคลข้ามเพศออกจากแทบทุกแง่มุมของชีวิตสาธารณะของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธไม่ให้บุคคลเหล่านี้แสดงเอกสารประจำตัวที่ถูกต้อง เช่น หนังสือเดินทาง การกำหนดข้อจำกัดทั่วประเทศเกี่ยวกับการดูแลทางการแพทย์ที่ยืนยันเพศสำหรับเยาวชนข้ามเพศ การสืบสวนโรงเรียนที่มีห้องน้ำที่เป็นกลางทางเพศ การทำให้การสนับสนุนของครูต่อนักเรียนข้ามเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และการสั่งให้กรมราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลางบังคับให้ผู้ต้องขังที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศประมาณ 1,500 คน ถูกขังรวมกับนักโทษชาย

นิวยอร์กไทม์สระบุว่า การโจมตีคนข้ามเพศไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง นักการเมืองที่ต่อต้านคนข้ามเพศใช้เงินอย่างน้อย 215 ล้านเหรียญในการหาแพะรับบาปให้คนข้ามเพศว่าเป็นคนสร้างปัญหาสังคมต่างๆ พรรครีพับลิกันมองว่าการริดรอนสิทธิของคนข้ามเพศเป็นชัยชนะทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการจำกัดสิทธิพลเมืองในช่วงที่ริชาร์ด นิกสันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและการตัดสิทธิของเกย์ในช่วงที่จอร์จ ดับเบิลยู บุชดำรงตำแหน่ง ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างน่าละอายจากความเร่งรีบและความยินดีที่สมาชิกรัฐสภาของพรรครีพับลิกันห้ามผู้หญิงข้ามเพศใช้ห้องน้ำหญิงในอาคารรัฐสภาแคปิตอลฮิลล์ หลังจากซาราห์ แม็คไบรด์ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาคองเกรสคนแรกที่เป็นคนข้ามเพศอย่างเปิดเผย

 นิวยอร์กไทม์สกล่าวต่อไปว่าสำหรับทรัมป์ เขาชนะอำนาจด้วยการล้อเลียนและใส่ร้ายคนข้ามเพศ ตอนนี้เขากำลังใช้พลังอำนาจนั้นเพื่อทำร้ายคนข้ามเพศ

 การโจมตีของรัฐบาลทรัมป์เกิดขึ้นครึ่งทศวรรษหลังจากที่ศาลฎีกาซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายอนุรักษ์นิยมตัดสินในคดี Bostock v. Clayton County ว่าการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศเป็นการเลือกปฏิบัติทางเพศภายใต้พระราชบัญญัติสิทธิพลเมืองปี 1964 “เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปฏิบัติต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงเพราะเป็นเกย์หรือข้ามเพศโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อบุคคลนั้นตามเพศ” ผู้พิพากษา นีล กอร์ซัช เขียนในคำตัดสิน

บทบรรณาธิการนี้เตือนว่า ควรตระหนักว่าสังคมยังคงดิ้นรนหาทางออกกับนัยทางวัฒนธรรมและนโยบายของความเข้าใจเรื่องเพศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีปัญหาบางประการ เช่น การมีส่วนร่วมในกีฬาและการดูแลทางการแพทย์ที่เหมาะสมสำหรับผู้เยาว์ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด แม้แต่โดยผู้ที่สนับสนุนสิทธิของคนข้ามเพศโดยทั่วไป ควรมีพื้นที่สำหรับการสนทนาในเรื่องเหล่านี้ แต่สิ่งที่ไม่ควรถกเถียงกันคือรัฐบาลควรพุ่งเป้าไปที่คนอเมริกันบางกลุ่มเพื่อริดรอนอิสรภาพและศักดิ์ศรีในการใช้ชีวิตในโลกตามที่พวกเขาเลือกหรือไม่ บทบรรณาธิการเห็นว่า ความโหดร้ายและการดูถูกเหยียดหยามดูเหมือนจะเป็นประเด็นหลักของการรณรงค์ต่อต้านคนข้ามเพศ

  •   ทรัมป์ปั่นให้คนกลัวเกินเหตุ

นิวยอร์กไทม์สชี้ว่า การปลุกปั่นให้เกิดความกลัวนั้นเกินจริงไปมากขึ้นเมื่อพิจารณาว่ามีคนเพียงไม่กี่คนที่ระบุว่าตนเองเป็นคนข้ามเพศ พวกเขามีไม่ถึง 1 % ของประชากรในสหรัฐอเมริกา และเป็นเพียง 0.002 % ของนักกีฬามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นประชากรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรมอย่างมาก

 ในกองทัพสหรัฐ มีทหารมากกว่า 1 %เล็กน้อยที่เป็นคนข้ามเพศ แต่ทำให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้จ้างงานคนข้ามเพศรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และนั่นทำให้การรับราชการทหารกลายเป็นเป้าหมายหลักของขบวนการต่อต้านคนข้ามเพศ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง และมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ ที่คำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับของประธานาธิบดีคนใหม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่ทหารข้ามเพศ ออกจากกองทัพและห้ามไม่ให้รับทหารใหม่ที่เป็นคนข้ามเพศ ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ทรัมป์มุ่งเป้าไปที่ทั้งบุคคลที่เสี่ยงชีวิตเพื่อชาติและสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างการยอมรับและบูรณาการชนกลุ่มน้อยเข้ากับสังคมมาโดยตลอด

  •   ทรัมป์ตั้งเป้าไล่ทหารข้ามเพศ 25,00คนออก

 คำสั่งดังกล่าวเรียกร้องให้บังคับใช้การเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันประมาณ 15,000 ถึง 25,000 คนที่ตกลงเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องชาติ

นิวยอร์กไทม์สกล่าวโทษว่า ทรัมป์ไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่าคำสั่งนี้จะขับไล่บุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติออกจากกองทัพหรือทำให้สหรัฐอเมริกาปลอดภัยขึ้น เนื่องจากหลักฐานที่ว่าทหารข้ามเพศไร้ความสามารถนั้น ไม่มีอยู่จริง ภาษาของคำสั่งดังกล่าวแสดงถึงความใจร้าย

คำสั่งดังกล่าวระบุว่า “การแสดง ‘อัตลักษณ์ทางเพศ’ ที่เป็นเท็จซึ่งแตกต่างไปจากเพศของบุคคลนั้นไม่สามารถตอบสนองมาตรฐานอันเข้มงวดที่จำเป็นสำหรับการรับราชการทหารได้” “นอกเหนือจากการแทรกแซงทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและการผ่าตัดแล้ว การยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศที่ไม่สอดคล้องกับเพศของบุคคลยังขัดแย้งกับความมุ่งมั่นของทหารที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีเกียรติ ซื่อสัตย์ และมีระเบียบวินัย แม้แต่ในชีวิตส่วนตัวก็ตาม”

นิวยอร์กไทม์สชี้ว่า คำสั่งนี้ไม่เพียงแต่ลบล้างเกียรติศักดิ์ (และอาจรวมถึงเงินบำนาญ) ของทหารที่นำหน่วยลาดตระเวนทหารราบในอัฟกานิสถานและทหารที่บินไปรบเหนือน่านฟ้าซีเรียเท่านั้น แต่ยังพยายามปฏิเสธว่าพวกเขามีตัวตนเป็นคนข้ามเพศด้วยซ้ำ