สัปดาห์หน้า ทรัมป์เผยแผนภาษีตอบโต้ ‘เก็บมา-เก็บกลับ’

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวกับนักข่าวที่ห้องทำงานรูปไข่ เมื่อวันศุกร์ (7 ก.พ.) ตามเวลาท้องถิ่น ขณะพบกับ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชิเงรุ อิชิบะ

“ผมจะประกาศสัปดาห์หน้า เรื่องการค้าต่างตอบแทน เพื่อให้เราได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่น เราไม่อยากได้มากกว่าหรือน้อยกว่า” ทรัมป์กล่าวและว่าเขาจะแถลงข่าวในประเด็นนี้ในวันจันทร์ (10 ก.พ.) หรือ วันอังคาร (11 ก.พ.)

ต่อมาในช่วงแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ ทรัมป์แย้มว่า ภาษีศุลกากรตอบโต้อาจเข้ามาแทนแผนเก็บภาษีนำเข้าหว่านแห 10%-20% ที่เคยหาเสียงไว้ เขามีแนวโน้มใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้มากกว่าเก็บภาษีนำเข้าจากนานาประเทศทั่วโลก

“ผมคิดว่ามันเป็นวิธีเดียวที่ยุติธรรม ไม่มีใครเสียหาย เขาชาร์จเรา เราชาร์จเขา โดนเหมือนกัน ผมน่าจะไปทางนั้นไม่ใช่เก็บภาษีคงที่”

ทรัมป์กล่าวด้วยว่า กำลังพิจารณาการเก็บภาษีรถยนต์ “นั่นเป็นเรื่องที่คุยกันเสมอ เรื่องใหญ่มาก เราต้องทำให้เท่าเทียม”

ทั้งนี้ ทรัมป์และที่ปรึกษาคนสำคัญบางคนผลักดันเรื่องการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้มาโดยตลอด ช่วงหาเสียงทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะออกกฎหมายให้อำนาจตนเล่นงานประเทศที่เก็บภาษีสินค้าสหรัฐ ด้วย “การเก็บภาษีตอบโต้เท่าๆ กัน” โดยเฉพาะกับภาษีมูลค่าเพิ่มของสหภาพยุโรปมาตรฐานขั้นต่ำ15% ที่บางประเทศอาจเก็บสูงกว่านี้ ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าภาษีนี้ “สูงมากไปแล้ว”

ก่อนหน้านี้ทรัมป์และที่ปรึกษาเคยแย้มด้วยว่า สหรัฐอาจใช้ภาษีสู้กับการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่ประเทศอื่นใช้ ทรัมป์ให้เหตุผลว่า เขากำลังทำ “ดีลที่เป็นธรรม” เพื่อผู้บริโภคสหรัฐ

แต่นอกจากผลักดันเรื่องเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐยังมีแผนเก็บภาษีทั่วโลกพุ่งเป้าสหภาพยุโรปเป็นพิเศษ และเล่นงานสินค้าประเภทเหล็ก ยา น้ำมัน และภาคส่วนสำคัญอื่นๆ

ด้านเหล่าที่ปรึกษากล่าวว่า คำขู่ดังกล่าวทำให้ทรัมป์มีอำนาจในการต่อรองในประเด็นการลักลอบเข้าเมือง, ลักลอบค้าเฟนทานิล และการขาดดุลการค้า

ไม่กี่วันก่อนทรัมป์เพิ่งประกาศแผนเก็บภาษีแคนาดาและเม็กซิโก 25% แต่ชะลอไปก่อนหลังสองประเทศให้คำมั่นแก้ข้อห่วงใยของทรัมป์เรื่องความมั่นคงชายแดน ทำให้มีคนสงสัยว่า ทรัมป์จะทำตามคำขู่จริงหรือไม่

ขณะที่จีนถูกทรัมป์เก็บภาษี 10% จริงแม้ระงับการเก็บภาษีสินค้าราคาถูกที่ส่งไปรษณีย์ตรงถึงผู้บริโภคออกไปก่อน ในช่วงที่รัฐบาลวอชิงตันกำลังหาวิธีดำเนินการอย่างเหมาะสม