GDP ‘อินโดนีเซีย’ ปี 67 โต 5.03% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังบริโภคชนชั้นกลางซบเซา

GDP ‘อินโดนีเซีย’ ปี 67 โต 5.03% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังบริโภคชนชั้นกลางซบเซา

เศรษฐกิจ ‘อินโดนีเซีย’ ปี 2567 โต 5.03% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังบริโภคชนชั้นกลางซบเซา-ส่งออกลดลง แบงก์ชาติอินโดหั่นคาดการณ์ GDP ปี 68 เหลือ 4.7%-5.5% ฉุดความหวังเศรษฐกิจโต 8%

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียรายงานว่า ปี 2567 เศรษฐกิจ “อินโดนีเซีย” เผชิญกับการชะลอตัว โดยมีอัตราการเติบโตที่ 5.03% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับเป็นการเติบโตชะลอตัว 2 ปีติดต่อกัน โดยสาเหตุหลักมาจากการบริโภคของชนชั้นกลางในประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัดและตลาดส่งออกสำคัญของอินโดนีเซียอย่างจีนประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้การส่งออกลดลง

GDP ‘อินโดนีเซีย’ ปี 67 โต 5.03% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังบริโภคชนชั้นกลางซบเซา

ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปี 2567 นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ซึ่งมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียสูงถึง 8% ภายในปี 2572 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีของเขา การที่เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทำให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไม่เพียงแต่ลดลงจากปี 2566 ที่ 5.05% แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 5.2% และอยู่ในระดับต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของกรอบที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียคาดการณ์ไว้ระหว่าง 4.7% ถึง 5.5% 

แม้ว่าการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนจะมีการเติบโตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เศรษฐกิจอินโดนีเซียโดยรวมกลับชะลอตัวลง 

อามาเลีย อดินิงการ์ วิดยาสันติ รักษาการหัวหน้าสำนักงานสถิติอินโดนีเซียได้กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงนั้นสวนทางกับการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองและอาจต้องมีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป

ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2568 ลง  โดยคาดว่าจะเติบโตระหว่าง 4.7% ถึง 5.5% ลดลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 4.8% ถึง 5.6% 

การปรับลดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างกะทันหันเมื่อเดือนที่แล้ว เพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซียให้เหตุผลว่า การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องค่าเงินรูเปียห์จากผลกระทบของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากนโยบายของสหรัฐ  และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก