ดีมานด์ทองคำ 2567 พุ่งทุบสถิติใหม่ WGC คาดแรงซื้อยังพุ่งต่อเนื่องในปีนี้

ดีมานด์ทองคำ 2567 พุ่งทุบสถิติใหม่ WGC คาดแรงซื้อยังพุ่งต่อเนื่องในปีนี้

'สภาทองคำโลก' เผยความต้องการทองคำทั่วโลกพุ่งสูงสุดทุบสถิติใหม่ในปี 2567 และจะยังคงพุ่งแรงต่อเนื่องในปีนี้ จากแรงซื้อตุนของธนาคารกลางทั่วโลกและแรงซื้อเพื่อการลงทุนรับความเสี่ยง

สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยรายงานประจำปีล่าสุดในวันนี้ว่า ความต้องการ ทองคำทั่วโลก ในปี 2567 ปรับตัว "สูงสุดทุบสถิติใหม่" เนื่องจากการตุนทองคำสำรองของธนาคารกลางประเทศต่างๆ และการซื้อทองเพื่อการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

ธุรกรรมการซื้อขายทองคำทั้งหมดในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงการซื้อขายนอกตลาด (OTC) อยู่ที่ 4,974 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 4,899 ตัน 

เชาไค ฟ่าน หัวหน้ากลุ่มงานธนาคารกลางทั่วโลกของ WGC กล่าวว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นชนิดทำลายสถิติใหม่ทั้งรายไตรมาสและรายปี โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆ จากความความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น 

สภาทองคำโลกระบุว่า กระแสความต้องการซื้อทองของธนาคารกลางทั่วโลกยังไม่จบลง หลังจากผ่าน "จุดสำคัญ" ไปแล้ว โดยยังสามารถรักษาอัตราการซื้อทองคำที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และมีการซื้อทองเกิน 1,000 ตัน เป็นปีที่สามติดต่อกันแล้ว นำโดยธนาคารกลางของ "โปแลนด์" ที่ซื้อเพิ่ม 90 ตัน และเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ที่สุดในบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก

ด้านธนาคารกลางของ "ตุรกี" ตามมาในอันดับสองโดยซื้อทองคำสำรองเพิ่ม 75 ตัน ขณะที่ "อินเดีย" ซื้อเพิ่มมากที่สุดเป็นอันดัมสาม โดยมีการซื้ออย่างสม่ำเสมอทุกเดือน ยกเว้นเพียงเดือนธันวาคม

การลงทุนทองเติบโต 25%

ในภาพรวมนั้น การซื้อทองคำเพื่อการลงทุนมีการเติบโต 25% อยู่ที่ 1,180 ตัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ ในขณะที่แรงซื้อทองคำแท่งและเหรียญทองยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน นำโดยแรงซื้อจาก "จีน" และ "อินเดีย" 

"นักลงทุนชาวจีนขาดแคลนสินทรัพย์ทางเลือกในการลงทุน" WGC ระบุและย้ำว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในจีน ความผันผวนอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ผลักดันให้นักลงทุนในจีนหันมาสนใจทองคำกันมากขึ้น 

ส่วนในอินเดียนั้น ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นหลังจากที่รัฐบาลลดภาษีนำเข้าทองคำจาก 15% เหลือ 6% ในเดือนกรกฎาคม 2567 ขณะที่ตลาดอาเซียนในภาพรวมยังคงเติบโตดีเช่นกัน โดยมีรายงานว่าการลงทุนทองคำในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในปีที่แล้ว

สำหรับการลงทุนนอกตลาด OTC ยังคงแข็งแกร่งเช่นกัน โดยดีมานด์ในกลุ่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงผู้ซื้อในกลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth) ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

ทองรูปพรรณยังอ่อนแรง 

ในทางกลับกัน ความต้องการทองรูปพรรณหรือทองคำในส่วนของเครื่องประดับนั้น ปรับตัวลดลงเนื่องจากราคาที่แพงขึ้น โดยมีดีมานด์ในส่วนนี้ลดลง 11% ในปีที่แล้ว และเป็นภาคส่วนเดียวที่ปรับตัวลงสวนทางดีมานด์ในด้านอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 

นักวิเคราะห์ของ WGC กล่าวว่า ความต้องการเครื่องประดับทองคำมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลงในปีนี้ เนื่องจากอำนาจซื้อของผู้บริโภคยังคงลดลงจากราคาทองแพง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

ทั้งนี้ ราคาทองคำ ปรับตัวสูงขึ้นทุบสถิติใหม่ไปถึง 40 ครั้งในปีที่แล้ว และยังคงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยข้อมูลจาก FactSet ระบุว่าในวันนี้ (พุธ 5 ก.พ.) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในตลาด NYMEX พุ่งแตะระดับ 2,875.8 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

“ในปี 2568 เราคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก และนักลงทุนใน ETF ทองคำจะมีส่วนร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แม้ว่าจะยังผันผวนก็ตาม” หลุยส์ สตรีท นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ WGC กล่าว

สภาทองคำโลกย้ำว่า ความต้องการลงทุนทองโดยรวมในปี 2568 นี้ ยังมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ

ที่มา: CNBC