ทรัมป์สั่งตั้ง ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’ หวังใช้ลงทุนในธุรกิจและซื้อ TikTok

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ สั่งตั้ง ‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติสหรัฐ’ เพื่อลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และการแพทย์ รวมถึงอาจใช้เงินกองทุนนี้เข้าลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับ TikTok เพื่อแสวงหาผลตอบแทนเข้าประเทศ
ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งสหรัฐได้ลงนามในคำสั่งบริหาร เพื่อมอบหมายให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสหรัฐ” ภายในปีหน้า โดยทรัมป์แย้มว่า กองทุนนี้อาจใช้ลงทุนซื้อแอปพลิเคชันวิดีโอสั้น TikTok ได้
“เรามีศักยภาพที่มหาศาล” ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันจันทร์ ขณะประกาศมาตรการดังกล่าว ประธานาธิบดีกล่าวว่า คำสั่งนี้จะมอบหมายให้ “สก็อตต์ เบสเซนต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ “โฮเวิร์ด ลัทนิค” ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้นำในการดำเนินการเรื่องนี้
หากการจัดตั้งสำเร็จ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินี้อาจทำให้สหรัฐอยู่ในกลุ่มเดียวกับหลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและเอเชีย ที่ได้จัดตั้งกองทุนลักษณะเดียวกัน เพื่อใช้เงินของรัฐบาลในการลงทุนโดยตรง
ทั้งนี้ เนื้อหาของคำสั่งฝ่ายบริหารมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อย และเพียงสั่งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนสำหรับกองทุนดังกล่าวภายใน 90 วัน ซึ่งรวมถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกลไกการจัดหาเงินทุน ยุทธศาสตร์การลงทุน โครงสร้างกองทุน และรูปแบบการกำกับดูแล
โดยทั่วไป กองทุนประเภทนี้อาศัยงบประมาณส่วนเกินของประเทศในการลงทุน แต่ขณะนี้สหรัฐกำลังอยู่ในภาวะขาดดุล อีกทั้งการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวยังน่าจะต้องได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสด้วย
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เราจะสร้างความมั่งคั่งให้กับกองทุนอย่างมาก และผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศนี้ควรมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”
ด้านเบสเซนต์ ซึ่งเข้าร่วมกับทรัมป์ที่ห้องทำงานรูปไข่กล่าวว่า กองทุนนี้จะถูกจัดตั้งขึ้นในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้า โดยเรียกว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง
ในช่วงที่เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์เคยเสนอแนวคิดเครื่องมือการลงทุนของรัฐบาลลักษณะนี้มาก่อน โดยกล่าวว่ากองทุนดังกล่าวสามารถใช้ลงทุนโครงการระดับชาติที่ยิ่งใหญ่ เช่น โครงการโครงสร้างพื้นฐานอย่างทางหลวง สนามบิน อุตสาหกรรมการผลิต และการวิจัยทางการแพทย์
ลัทนิคกล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐยังสามารถใช้ขนาดและความสามารถของตนในการลงทุนธุรกิจกับบริษัทต่างๆ โดยยกตัวอย่างบริษัทผู้ผลิตยา
“ถ้าเราจะซื้อวัคซีนโควิดสองพันล้านโดส อาจจะถึงเวลาแล้วที่เราควรจะมีสิทธิในการซื้อหุ้นหรือบางส่วนของทุนในบริษัทเหล่านี้” ลัทนิคกล่าว
เจ้าหน้าที่รัฐบาลไม่ได้ระบุว่า กองทุนดังกล่าวจะดำเนินการหรือได้รับเงินทุนอย่างไร แต่ทรัมป์เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า กองทุนอาจได้รับเงินจาก "ภาษีศุลกากรและแหล่งเงินทุนอัจฉริยะอื่น ๆ"
แนวทางหนึ่งในการตั้งกองทุนนี้ คือ การปรับเปลี่ยนบทบาทของสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (DFC) ให้ทำงานในลักษณะเดียวกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ โดยในปัจจุบัน DFC เป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ร่วมมือกับภาคเอกชนในการให้เงินทุนสำหรับโครงการต่างๆ ในประเทศกำลังพัฒนา
เคลเมนซ์ แลนเดอร์ส อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังซึ่งปัจจุบันทำงานกับศูนย์เพื่อการพัฒนาระดับโลกกล่าวว่า มีการพูดถึงการปรับบทบาทของ DFC แต่การจัดตั้งกองทุนดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
“แน่นอนว่าคุณไม่สามารถจัดตั้งสถาบันขึ้นมาได้ด้วยคำสั่งฝ่ายบริหาร และที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณไม่สามารถจัดสรรงบประมาณให้กับสถาบันผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารได้” เธอกล่าว
“การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติหมายความว่า ประเทศนั้นมีเงินออมที่เพิ่มขึ้นและสามารถจัดสรรไปยังกองทุนได้” โคลิน เกรแฮม หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลายสินทรัพย์ของ Robeco ในลอนดอนกล่าว
ทั้งนี้ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติส่วนใหญ่จะมีอยู่ในประเทศที่มีสำรองเงินตราต่างประเทศขนาดใหญ่ เช่น จีน หรือประเทศที่มีรายได้จากการขายน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น นอร์เวย์และซาอุดีอาระเบีย โดยเงินที่ได้จะถูกนำไปลงทุนในหลากหลายด้าน ตั้งแต่หุ้นและพันธบัตร ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี
ตัวอย่างของกองทุนที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ Norges Bank Investment Management ของนอร์เวย์ที่มีมูลค่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์, China Investment Corp. ของจีนที่มีมูลค่า 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ และ Abu Dhabi Investment Authority ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มีมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์
“เราจะนำสินทรัพย์ในฝั่งของงบการเงินของสหรัฐ มาทำให้เกิดมูลค่าสำหรับประชาชนอเมริกัน” เบสเซนต์กล่าว “นี่จะเป็นการผสมผสานระหว่างสินทรัพย์ที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ และสินทรัพย์ที่เรามีในประเทศ ซึ่งเราจะทำงานเพื่อดึงออกมาเพื่อประโยชน์ของประชาชนอเมริกัน”