บริษัทรถยนต์มอง 2568 'ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง' คาดยอดขาย EV พุ่งแตะ 20 ล้านคัน

อุตสาหกรรมรถยนต์มอง 2568 เป็น 'ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง' จีนกระตุ้นกำลังซื้อ ยุโรปใช้เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซ ขณะที่สหรัฐยูเทิร์นนโยบายใหม่ในยุคทรัมป์ แต่ยังคาดว่ายอดขายรถอีวีทั่วโลกปีนี้จะยังเติบโตดีพุ่งแตะ 20 ล้านคัน
บริษัทวิจัยด้านยานยนต์ โร โมชัน เปิดเผยคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ทั่วโลกในปี 2568 ว่า ยอดขายรถยนต์อีวีและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมกันจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 17% ทะลุ 20 ล้านคันในปีนี้ โดยได้ปัจจัยหนุนอย่างการขยายมาตรการแลกซื้อรถยนต์ใหม่ของรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศของจีน
นอกจากตลาดจีนแล้ว "ยุโรป" ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ก็จะกลับมามียอดขายเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เริ่มมีผลบังคับใช้ ประกอบกับมีการวางจำหน่ายรถยนต์รุ่นที่ราคาถูกลง แม้ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายในยุโรปอาจจะช้ากว่าของปี 2567 ก็ตาม
บรรดาบริษัทผลิตรถยนต์มองว่า "ปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง" เนื่องจากยุโรปตั้งเป้าหมายใหม่เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และจีนจะขยายมาตรการอุดหนุน ในขณะที่สหรัฐจะยกเลิกเป้าหมายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายใต้รัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ใน "ตลาดจีน" โร โมชัน คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะเติบโต 17% ในปี 2568 และขยายรถอีวีจะขยายส่วนแบ่งการตลาดในประเทศได้มากขึ้นจากการขยายมาตรการช่วยซื้อรถของรัฐบาล ขณะที่ในปี 2567 ยอดขายในจีนเติบโตได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 40% หรือราว 11 ล้านคัน
บริษัทวิจัยคาดการณ์ว่ายอดขายรถอีวีที่ผลิตในจีนจะยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในตลาด "ละตินอเมริกา" ซึ่งรถยนต์อีวีมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 80% และจะยังคงเพิ่มขึ้นเช่นกันในภูมิภาค "เอเชียแปซิฟิก" และกลุ่มประเทศ "ตลาดเกิดใหม่"
สำหรับ "ยุโรป" บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายโดยรวมจะเติบโตขึ้น 15% จากยอดขาย 3 ล้านคันในปีที่แล้ว ขณะที่บริษัทรถยนต์ยังคงเสี่ยงต่อการถูกลงโทษปรับราว 1 หมื่นล้านยูโร (ราว 3.5 แสนล้านบาท) หากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรป (อียู) แม้จะซื้อเครดิตจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้วก็ตาม โดยตัวเลขค่าปรับนี้ลดลงจากประมาณครั้งก่อนที่ราว 1.5 หมื่นล้านยูโร
ส่วนตลาด "สหรัฐ" โร โมชัน คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์อีวีจะเติบโต 16% ในปีนี้ โดยจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของทรัมป์เพียงเล็กน้อย แต่คาดว่าจะส่งผลในระยะยาวมากกว่า เช่น ในกรณีเลวร้ายที่สุด ความต้องการแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงถึง 47% ภายในปี 2583







