ปมฉาว ‘ซิงซิง’ หายตัว นักท่องเที่ยวจีนผวา มองไทย ‘ทางผ่าน’ ค้ามนุษย์

‘ปมฉาวซิงซิง’ สะเทือนวงการท่องเที่ยวไทย ชาวจีนหวั่นเกรงความปลอดภัย ยกเลิกแผนในตรุษจีนนี้ แม้รัฐบาลพยายามสร้างความเชื่อมั่น แต่การที่ไทยมักเป็นทางผ่านและสาธารณูปโภคของแหล่งค้ามนุษย์ก็มาจากไทย จึงกระทบภาพลักษณ์ประเทศในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก
ในเทศกาลตรุษจีนที่ควรคึกคักในปีนี้ ดูเหมือนว่า “ปมฉาวซิงซิงหายตัว” ได้กระทบการท่องเที่ยวไทยขึ้นแล้ว โดยครอบครัวของเชลซี เติ้ง เชื้อสายจีนได้เผยกับสำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียว่า เดิมทีมีแผนจะกลับมารวมสมาชิกครอบครัวกันที่กรุงเทพฯในช่วงตรุษจีนนี้ แต่หลังได้ยินข่าวนักแสดงจีน ซิงซิง หายตัวไปในไทย เธอและสามีจึงตัดสินใจ “ยกเลิก” แผนเดินทาง
เติ้งบอกกับสามีว่า “นอกจากสิงคโปร์แล้ว ไม่ควรไปเที่ยวในประเทศแถบอาเซียนอีก”
สำหรับ “ซิงซิง” เป็นนักแสดงจีนที่เดินทางมาไทย เพื่อหวังว่าจะได้แคสต์งานละครต่าง ๆ แต่กลับหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 3 มกราคม โดยถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายที่อำเภอแม่สอด ชายแดนไทยที่ติดกับเมียนมา
4 วันต่อมา ตำรวจไทยถึงทราบว่า ตัวเขาถูกจับไปอยู่ในอาคารหลังหนึ่งในเมืองชเวโก๊กโก่ (Shwe Kokko) ในเมียนมา ซึ่งเป็นฐานคาสิโนและแหล่งสแกมออนไลน์อันอื้อฉาว โดยแรงงานที่อยู่ในนั้นจะถูกบังคับให้หาเหยื่อออนไลน์เพิ่ม และหากหาไม่ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะถูกทุบตีและถูกทรมานร่างกายต่าง ๆ
อีกสัปดาห์ต่อมา ข่าวกระทบชื่อเสียงของไทยก็ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อมีรายงานว่า หญิงชาวจีนสองคนหายตัวไป และถูกพบในเมืองชเวโก๊กโกอีกครั้ง
แม้ว่าเคสเหล่านี้ถูกพบในเมียนมา แต่การที่ไทยถูกใช้เป็น “ทางผ่าน” ของอาชญากรหลายครั้ง โดยเฉพาะที่แม่สอด อีกทั้งฐานซ่องสุมสิ่งผิดกฎหมายและค้ามนุษย์ในชายแดนเมียนมา ก็ใกล้จนมองเห็นได้จากฝั่งไทย จึงกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ฐานสแกมเมอร์เหล่านี้ก็ยังคงใช้สาธารณูปโภค ไม่ว่า “ไฟฟ้า” และ “สัญญาณโทรคมนาคม” จากผู้ให้บริการฝั่งไทย
แม้ยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีชาวจีนถูกกักขังอยู่จำนวนเท่าใด แต่หลังจากกรณีของซิงซิงกลายเป็นข่าวใหญ่ในสื่อจีน ครอบครัวของผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันได้ออกมาเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน โดยจากข้อมูลองค์กร NGO ที่รวบรวมและแจ้งให้ตำรวจไทยทราบ พบว่า ณ วันที่ 7 มกราคม มีคนถูกกักขังอยู่ในเมืองชเวโก๊กโก และพื้นที่ชายแดนเมียนมาอีกแห่งหนึ่งรวมกว่า 6,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวจีนถึง 3,900 คน
ถึงแม้ทางการไทยพยายามให้ความเชื่อมั่นกับนักท่องเที่ยวจีน แต่เติ้งซึ่งยกเลิกแผนเดินทางมาไทยยังคงมีความสงสัยในคำมั่นสัญญาของรัฐบาลไทย เธอให้เหตุผลว่า
“ตราบใดที่ยังมีแก๊งอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการหลอกลวงอยู่ในพื้นที่ ฉันก็ไม่สามารถเชื่อมั่นได้เต็มที่ในคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบและยืนยันได้ด้วยตัวเองว่า สถานการณ์เหล่านั้นได้รับการแก้ไขแล้วจริง ๆ”
ข่าวซิงซิงฉุดท่องเที่ยวไทยสะดุด
สำหรับ “นักท่องเที่ยวจีน” เป็นแหล่งรายได้ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของไทย โดยในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเยือนไทย 6.7 ล้านคน ซึ่งลดลงจากสถิติสูงสุดในปี 2562 ที่มีประมาณ 11 ล้านคน
แกรี โบเวอร์แมน ผู้อำนวยการของ Check-in Asia บริษัทที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวกล่าวว่า “ระบบนิเวศการท่องเที่ยวของจีนทั้งหมดมีความสำคัญต่อไทยอย่างยิ่ง ขณะนี้ ทุกสายตาจับจ้องไปที่การเดินทางในช่วงตรุษจีน” ซึ่งโบเวอร์แมนกล่าวต่อว่า “ช่วงเวลานี้มักจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวในประเทศแถบอาเซียนตลอดทั้งปี”
“40 เที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนของสายการบิน Thai Lion Air ถูกยกเลิก” อัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบิน Thai Lion Air กล่าว โดยคิดเป็น 20% ของเที่ยวบินเช่าเหมาลำในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่หายไป
ด้านศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) คาดการณ์ว่า การยกเลิกกรุ๊ปทัวร์ จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดลง 10-20% โดยศิษฎิวัชรอธิบายว่า ผู้สูงอายุและนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์น้อย มักจะเลือกเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนรุ่นใหม่มีความมั่นใจในการเดินทางด้วยตนเอง
“ความกังวลของเราคือ สถานการณ์หลังตรุษจีน” ศิษฎิวัชรกล่าว “การลดลงจะรุนแรงกว่าปกติหรือไม่”
อนาคตนักท่องเที่ยวจีนต่อจากนี้
ข่าวการหายตัวไปของซิงซิงและนักท่องเที่ยวจีนคนอื่น นอกจากจุดกระแสให้เห็นปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมแล้ว ยังสะท้อนความเสี่ยงของอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้านที่ซึมเข้าสู่ภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งคิดเป็น 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปี 2566
ก่อนหน้านั้น ภาพยนตร์จีนยอดนิยมในปี 2566 เรื่อง “No More Bets” ก็ได้จุดกระแสให้ผู้คนสนใจขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ โดยเป็นเรื่องราวของชาวจีนที่ถูกหลอก เพื่อไปก่ออาชญากรรมออนไลน์ในประเทศแถบอาเซียน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกัมพูชา
“No More Bets” ทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 532 ล้านดอลลาร์ และกัมพูชาได้ประสบปัญหาขาดแคลนนักท่องเที่ยวชาวจีนนับตั้งแต่นั้นมา เมืองเสียมราฐซึ่งเป็นที่ตั้งของนครวัด ยังคงเงียบสงบกว่าปกติในช่วงฤดูท่องเที่ยวประจำปี และทางการไทยอาจหวั่นถึงชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน
สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติได้เขียนไว้ในรายงานปี 2566 ว่า การค้ามนุษย์ในอาชญากรรมที่ถูกบังคับจะไม่เกิดขึ้นในระดับนี้ หากไม่ใช่เพราะผลกำไรมหาศาลที่อาชญากรได้รับ
ระหว่างที่นักท่องเที่ยวจีนกำลังรอการฟื้นตัว และยังไม่กลับไปสู่ระดับสูงสุดในช่วงก่อนเกิดโควิด ไทยจึงหันมาให้ความสำคัญกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินเดีย รวมถึงนักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตก รัสเซีย และตะวันออกกลาง โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวอินเดียในปี 2567 เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมีจำนวนถึง 2.13 ล้านคน
“เราไม่ได้พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งสำหรับเป้าหมายประจำปีของเรา” ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าว “เรากำลังกระจายตลาดเป้าหมายอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปยังหลายภูมิภาค”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลายชาติ แต่แก๊งค้ามนุษย์ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่าน ไม่ได้จำกัดเหยื่อเพียงชาวจีนอย่างเดียว ซึ่งหากปัญหานี้ไม่ได้ถูกจัดการอย่างเอาจริงเอาจัง รวมถึงอาคารสแกมเมอร์ยังคงได้รับสาธารณูปโภคจากทางฝั่งไทย ผลกระทบนี้อาจลุกลามไปถึงนักท่องเที่ยวประเทศอื่น ๆ ก็เป็นได้
อ้างอิง: nikkei, กรุงเทพธุรกิจ, กรุงเทพธุรกิจ(2)






